ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความ (ไม่ทราบชื่อครับ)
--------------------------------------------------------------
ข่าวคนที่ถูกยิง ถูกแทง ถูกตีจนตาย ทั้งที่มีพระเต็มคอ ตะกรุดเต็มเอว พบเห็นได้ดาษดื่น บ่อยครั้งเป็นเหตุให้คนที่มีศรัทธาในของขลังเริ่มคลอนแคลน ที่ไม่ศรัทธาอยู่แล้วก็หยิบยกมาโจมตีว่า ไม่เห็น “วิเศษ” ดังคำคุยเป็นเพราะอะไร
.
จะมีสักกี่คนที่คิดเจาะลึกลงไปถึงเบื้องหลังของสาเหตุว่า ทำไมวัตถุมงคลเหล่านั้นจึงไร้ “ประสิทธิภาพ” คิดแบบตื้นๆก็ต้องว่า ของขลังเหล่านั้นไม่ขลังจริง คิดให้ลึกไปอีกหน่อยก็ต้องว่า ของนั้น “เคยขลัง” แต่ต้องมาเสื่อมเพราะใครคนนั้นเอง คิดแบบลึกสุดใจก็ว่า“กรรม”
.
“กรรม” แปลว่าการกระทำ ซึ่งมีทังทำดี-ทำชั่ว พูดถึงตรงนี้ก็มีเสียงค้านกัน “ตึม” ว่า แล้ว “ไอ้เสือ” ที่ปล้น ฆ่าชิงทรัพย์ในยุคเก่าก่อนเล่า เหตุใดจึง “หนังดี” ทั้งๆที่เขาเหล่านั้นก็ทำชั่ว แต่ความขลังก็ยังคงอยู่ ทำไมไม่เสื่อม
.
ผมตอบทันที เพราะไม่ผิดครู...!!
.
ใช่ว่าผมจะไม่เชื่อกรรม ไม่เชื่อผลของกรรม แต่กรรมบางอย่างก็ไม่อาจให้ผลได้ในปัจจุบัน ทั้งคนที่เป็นเสือและคนที่เป็นเจ้าทรัพย์ ก็ล้วนแล้วแต่สร้างกรรมมาร่วมกัน เป็นเหตุให้ต้องมาพบกันในลักษณะนั้น เรื่องกรรมมันลึกซื้งซับซ้อนยากจะอธิบาย ต้องคุยกับระดับพระมหาเถระอาจกระจ่างได้บ้างแต่เรื่อง “แรงครู” คุยกับผมก็ได้
.
หลวงพ่อพุธ ฐานิโย วัดป่าสาลวัน จ.นครราชสีมา เคยเล่าให้ผมฟังว่า ท่านมีลูกศิษย์ผู้ชายอยู่ 2 คน สมมตินามว่า “ยอด” กับ “ยิ่ง” ทั้งสองเป็นคนใจถึง เข้าทำนอง “ใจนักเลง” (ไม่ใช่อันธพาล) เขา 2 คนนับถึงหลวงพ่อพุธมาก เคยมาขอพระจากท่าน ท่านก็ให้เหรียญ รุ่นดีเซลราง ซึ่งเป็นเหรียญรุ่นสองในชีวิตท่าน แต่เป็นรุ่นแรก ขณะที่มาเป็นเจ้าอาวาสวัดป่าสาลวัน แก่เขาไปคนละเหรียญ เขาก็แขวนคอทันทีแขวนไม่นาน ยอดก็ประคองยิ่งมาต่อว่าหลวงพ่อเป็นการใหญ่ว่า พระรุ่นเดียวกัน รับพร้อมกัน แต่ทำไมไม่ขลังเลย เจ้ายิ่งโดนยิงทะลุไส้แตก เพราะอะไร หลวงพ่อเงียบไปในทันที ไม่ใช่เงียบในลักษณะ “จน” แต่เป็นการ “ตรวจสอบ” บางอย่างโดยวิธีของท่าน สักพักท่านก็พูดเย็นๆ ขึ้นว่า“เพราะเพื่อนคุณไปเปิดประตูทอง”
.
สองคนนั้นงง อะไรคือประตูทอง ท่านเฉลยต่อ “ก็คุณ” ชี้ไปที่คนถูกยิง “ไปด่าแม่เขาเข้านะสิ นั่นละเปิดประตูทอง” สองหนุ่มก็กระจ่างใจในบัดดล จึงขอขมาหลวงพ่อแล้วเล่าถวายว่า
.
เขาไปดื่มสุราในร้านอาหารแห่งหนึ่ง พบกับคู่อริที่ไม่ชอบหน้ากันเลยเกิดตะลุมบอนขึ้น เขามีกันสองคน แต่พวกนั้นมีเกือบสิบ ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่ถอย วาดลวดลายจนนักเลงมวยหมู่ตั้งตัวไม่ติด 1 ใน 10 นั่นก็เลยชักปืนขึ้นมาแล้วกระโดดเข้าล็อกคอหนุ่มยอด เอาปืนกดขมับแล้วลั่นไกทันที
.
เล่าถึงตอนนี้หลวงพ่อทำมือทำไม้ประกอบ พลางว่า “มันยิงดัง..แต๊บ...แต๊บ...แต๊บ...สามนัดแต่ไม่ออก” ข้างหนุ่มยิ่งเห็นคู่อริเอาปืนจ่อหัวเพื่อนก็เข้าใจว่า “ข้างหนุ่มยิ่งเห็นคู่อริเอาปืนจ่อหัวเพื่อนก็เข้าใจว่า “ขู่” ให้กลัวเท่านั้น จึงร้องตะโกนออกไปว่า “...แม่! แน่จริง***อย่าใช้ปืนสิวะ” ไอ้คนยิงฉุนกึก ใจกะจะฆ่าอยู่แล้วไม่ใช่แค่ขู่ เลยเบนกระบอกปืนไปที่คนปากเก่งแล้วลั่นไก “ปัง”
.
แม่นยังกับจับไปวาง กระสุนทะลุท้องทันที หนุ่มยิ่งถึงกับทรุดลงไปกองกับพื้น คู่อาฆาตเห็นท่าไม่ดี เลยเผ่นตะโพงกันไปหมด ทั้งสองจึงมีเรื่องมาต่อว่าหลวงพ่อด้วยประการฉะนี้
.
ก็เหรียญรุ่นเดียวกันรับพร้อมกัน อันหนึ่งยิงออก อันหนึ่งไม่ออก ทำไมจะไม่แปลกใจ เดชะบุญว่าหลวงพ่อมี “จิตรู้” ที่แจ่มใส ท่านจึงทราบความเป็นมาเป็นไปของคนทั้งสอง แล้วตอบ “เคลียร์” ให้เข้าใจหาไม่แล้วหลวงพ่อคงถูกให้ร้ายว่าไม่เก่งจริง
.
ได้โอกาสผมจึงเรียนถามว่า “แสดงว่าพระของหลวงพ่อห้ามคนแขวนด่าพ่อด่าแม่ใช่ไหมครับ” ท่านตอบว่า “ไม่ใช่แต่ของหลวงพ่อดอก ของใครก็ห้ามเหมือนกัน เพราะพระสงฆ์เวลาปลุกเสกพระ ท่านก็เชิญคุณพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ คุณบิดามารดา ครูบาอาจารย์ มาเหมือนๆกัน ฉะนั้นเมื่อไปลบหลู่คุณของท่านเหล่านั้น มันก็เท่ากับเราลบหลู่ครูบาอาจารย์ของเราด้วย”
.
“สรุปว่าพระของหลวงพ่อห้ามอะไรบ้างครับ”
.
ท่านยิ้มแล้วว่า “พระของหลวงพ่อห้ามคนแขวนลบหลู่บุพการี (คือพ่อแม่) ของตัวเอง และคนอื่น ห้ามลบหลู่ครูบาอาจารย์ของคนอื่น ถ้าทำได้อย่างนี้พระนั้นขลังจริง”
.
นั่นเป็นข้อห้ามที่ฟังมาจากท่านอาจื๊อ (คุณเพียรวิทย์ จารุสถิติ) เคยเล่าให้ผมฟังว่าคนแขวนพระหลวงปู่ทิม อิสริโก วัดละหารไร่ ตั้ง 3 องค์ แต่ถูกยิงตาย ประดาศิษย์มาซักไซ้เอากับหลวงปู่ถึงกุฏิ เพราะพระที่แขวนก็แท้ แต่ถูกยิงเข้า หมายความว่าอย่างไร เรื่องนี้มันสั่นประสาท “คนเป็น” ที่ยังแขวนพระท่านเสียจริง จึงต้องถามทำไมเป็นอย่างนั้น? ท่านเงียบไปอึดใจ ก่อนตอบว่า
.
“พ่อแม่มัน มันยังไม่เอา จะให้พระเอามันได้อย่างไร”
.
สืบไป สืบมา ได้ความว่า เขาคนนั้นเป็นคนขี้เหล้า ขี้พนัน เมื่อขอเงินพ่อแม่ไม่ได้ก็ประเคนให้ด้วยแข้ง เข่า ไม่เอาพ่อเอาแม่จริงๆนี่ถ้าหลวงปู่ไม่แจ่มแจ้งในเชิง “ฌาน” ต้องจนแต้มอย่างไม่ต้องสงสัยนั่นเป็นเรื่องที่สองพระเถระต่างวัยต่างยุคสมัยบอกเล่าได้ตรงกัน แสดงถึงข้อห้ามอย่างชัดเจนว่า พ่อ-แม่ เป็นของสูง จะนำมาพูดจาบจ้วงล่วงเกินไม่ได้เลย มิฉะนั้นจะมีผลดังที่เล่ามายังไม่จบเพียงนั้น
.
เพื่อนผมคนหนึ่งแขวนเหรียญ “พ.ฆ.อ.” เนื้อเงิน เป็นรูปสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (เจริญ ญาณวโร) พระอุปัชฌาย์ของท่านเจ้าคุณนรฯอยู่ เหรียญนี้ท่านเจ้าคุณนรฯ ได้ทำการอธิษฐานจิตให้ถึง 2 ครั้ง 2 คราว เรียกว่า “ขลัง” พอดู
.
เมื่อผมพบเขาเรื่องที่คุยก็ไม่พ้นพระ ตอนหนึ่งผมถามว่ามีภรรยามาแล้วตั้ง 2 คน เวลาหลับนอนแบบนั้นถอดพระบ้างไหม เขาตอบอย่างมั่นใจ “ไม่ถอด” ผมตกใจมาก แต่ก็ทำหน้าให้เป็นปกติ ถามต่อว่า แล้วไปเที่ยวสถานบริการที่มีผู้หญิงแบบนั้น ถอดไหม “ไม่เคยถอด” หนำซ้ำเขายังถามคืนว่า “ถอดไปทำไม พระอยู่ที่ใจ”
.
เออ ! คนเรานี่ก็แปลก ถ้าว่าพระอยู่ที่ใจจริง แล้วจะแขวนพระเครื่องไปทำไมเล่า แล้วพระอะไรหนอที่เข้าไปสิงใจเพื่อนผมแล้วชวนมันไปเที่ยวที่อย่างว่า ชวนมันไปกินเหล้า ถ้าพระชนิดที่มันบอกมีจริง โปรดอย่ามา “อยู่ที่ใจ” ผมเลยผมเสียว !
.
แล้ววันแห่งความพลิกผันในชีวิตของเขาก็มาถึง เมื่อวันหนึ่งเพื่อนเอาปืนมาหยอก แล้วลั่นไกแบบหยอกๆ ลูกปืนก็เลยออกแบบหยอกๆ แต่ผลของมัน “ไม่ใช่หยอก”
.
เพราะมันทะลุปอดซ้าย แล้วไปหยุดอยู่ที่กระดูกสันหลัง เมื่อแพทย์โรงพยบาลสมิติเวชดึงหัวกระสุนปืนออก น้ำไขสันหลังก็เยิ้มหนืบตามลูกกระสุนออกมาราวกับเยลลี่ ผลของมันก็คือทำให้เพื่อนของผมเป็นอัมพาตตั้งแต่เอวลงไปสุดปลายเท้าตลอดชีวิต
.
สังเวยความดื้อ ด้วยวัยเพียง 24 ปี
.
เมื่อผมไปเยี่ยม เขารำพึงว่า “เชื่อนายเสียก็ดี” ผมมาคิดดูว่าถ้าเขาต้องมีอายุขัยสัก 70 ปี เขาต้องทรมานอย่างนี้ไปอีกตั้งเท่าไหร่ มันไม่คุ้มเลยกับที่เราเชื่อความเห็นของตนเองชนิดที่ไม่ยอมรับครูบาอาจารย์ เรื่องทำนองนี้ยังมีอีก
.
รุ่นน้องของผมคนหนึ่งชื่อ “จุ๊” มาขอพระหลวงปู่ทิม อิสริโก จากผม เพราะรู้ว่าผมมีเยอะ ผมก็ให้เหรียญห่วงเชื่อม 8 รอบไป เขาก็รีบนำไปเลี่ยมพลาสติกแขวนคอ วันหนึ่งเกิดอยากเที่ยวที่แบบนั้นประสาหนุ่มน้อย ก็ชวนน้องชายขี่มอเตอร์ไซค์ไปที่โรงแรมเล็กๆ แห่งหนึ่งในตัวเมืองชลบุรี
.
ด้วยความที่ผมย้ำ “ข้อห้ามสากล” สำหรับพระทุกชนิดว่า
.
1. ห้ามด่าแม่
.
2. ห้ามเป็นชู้ลูกเมียเขา
.
3. ห้ามใส่พระเข้าสถานบริการทางเพศ หรือใส่มีเพศสัมพันธ์เด็ดขาด
.
ถ้าฝ่าฝืน พระต้องเสื่อมแบบถาวรอย่างไม่ต้องสงสัย หนุ่มจุ๊ก็ได้คิด ก่อนจะเข้าไปเลยถอดพระออกจากคอไปสวมให้น้องชาย นาม “โจ้” ไว้แทน และกำชับว่าให้คอยอยู่นอกรั้วนี้ ห้ามเข้าไปเด็ดขาด พี่จะเข้าไปคุยกับเพื่อนเดี๋ยวออกมา ว่าแล้วก็จ้ำอ้าวเข้าไป ปล่อยให้น้องโจ้คอยอยู่นอกรั้ว
.
ข้างหนุ่มโจ้รออยู่ครึ่งชั่วโมง พี่ชายก็ไม่ยอมออกมา แดดก็ร้อน เลยคิดว่าขอเข้าไปหลบแดดที่ชายคาบ้านคงไม่เป็นไร คิดแล้วก็ล็อกมอเตอร์ไซค์ พลางเดินมุ่งตรงไปที่ตึก เพียงแค่หนุ่มโจ้เดินผ่านประตูรั้วเหล็กเข้าไปเท่านั้นเขาก็ต้องตกใจชะงักอยู่กับที่เมื่อได้ยินเสียงวัตถุบางอย่างแตกดัง “เปรี๊ยะ”
.
เสียงนั้นอยู่ใกล้เหลือเกิน โจ้จึงก้มลงมองหารอบๆเท้า ด้วยเข้าใจว่าคงเหยียบเศษอะไร แต่ก็ไม่พบ ครู่เดียวก็เกิดเอะใจจึงล้วงสร้อยคอออกมาดู ปรากฏว่าพลาสติกที่เลี่ยมเหรียญหลวงปู่ทิมเกิดการ “ระเบิด” ย่อยๆ จนพลาสติกแตกออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย เฉพาะตรงด้านหน้าที่เป็นรูปท่านเท่านั้นที่คงสภาพเดิมน่าอัศจรรย์จริงๆ
.
โจ้ยืนงงคิดไม่ตกอยู่กับที่เป็นนานสองนาน เมื่อพอจะเข้าใจได้ลางๆ ก็เผ่นพรวดออกมายืนข้างมอเตอร์ไซค์ พอพี่ชายตัวดีเดินตัวลอยกลับมาก็ฉะเสียยกใหญ่ คาดคั้นว่าที่เข้าไปไม่ใช่บ้านเพื่อนใช่ไหม พี่ก็โวยวายว่ารู้ยังไง อย่ามามั่ว โจ้จึงงัดพระออกมาให้ดูเลยเงียบไปอีกคนแล้วสารภาพเสียงอ่อย “เออ! นั่น...ซ่อง...” จากนั้นก็ตรงมาหาผม 2 คนนั่นเลยได้ฟังเทศน์เสีย 3 ชั่วโมงรวด ก็ผมเสียดายของผมนี่นา
.
ผมเก็บเหรียญนั้นไว้ถึง 3 ปี เพื่อเป็นตัวอย่างบอกเล่าให้เพื่อนๆ ฟัง จนพระหลวงปู่หายากเข้า คุณป๊อบ เจ้าของร้านข้าวมันไก่โอเชี่ยนจึงมาออดอ้อนขอเอาไป ไม่อย่างนั้นผมจะมีรูปเหรียญทั้งพลาสติกเดิมมาให้ชม
.
เห็นไหมเรื่อง “มาตุคาม” กับพระเข้ากันได้เมื่อไร กรณีหนุ่มจุ๊ถือว่าโชคดีที่หลวงปู่ทิมท่านเมตตา “แสดง” ให้รู้ว่าอาตมาไม่อยู่ด้วยละ แต่กรณีท่านเจ้าคุณนรฯท่านไปแบบเงียบๆ คนแขวนเลยไม่ทันระวังตัว อันตรายจริงๆ
.
พูดเรื่องนี้มีอีกเยอะ เพื่อนบางคนแขวนเหรียญหลวงปู่แช่ม วัดฉลอง จ.ภูเก็ต เข้าสถานบริการกลับออกมาเหลือแต่ตลับ เหรียญข้างในหายจ้อย สร้อยก็อยู่กับคอ ตลับก็ไม่ได้เปิด พระไปได้อย่างไร อีกคนใส่ตะกรุดหลวงพ่อแดง วัดเขาบันไดอิฐ เกิดหักโป้งเป็น 2 ท่อน ทันทีที่ใต้ชั้น 2 ของที่อย่างว่า
.
ไม่เชื่อก็อย่าลบหลู่
.
เหล่านี้คือสิ่งที่ควรศึกษาให้รู้ก่อนแขวน
.
ยังมีอีกเยอะแยะมากมายครับ เขียนมากไปก็เกรงจะเป็น “สอนพระสังฆราช” อีก จึงได้แต่วิงวอนผู้เลื่อมใสในพระเครื่องของขลังจงระวังระไว จะแขวนจะคาดสิ่งใดโปรดตรวจสอบที่มาที่ไปก่อนเถิด อย่าตามใจตัวเองจนเก่งเกินครู ไม่อย่างนั้นท่านอาจจะต้องเสียใจในภายหลัง
-----------------------------------------------------------------------
เรื่องที่คนเล่นพระต้องรู้ แต่เซียนพระไม่อยากอ่าน
(เมื่อสมันน้อยหาญกล้าวิจารณ์เซียน)
เมื่อสมันน้อยๆ หาญกล้าวิจารณ์เรียน(เรื่องที่คนเล่นพระต้องรู้แต่เซียนไม่อยากอ่าน)
วันนี้เรามามองเซียนพระเครื่องกันดีกว่า แต่ขอออกตัวก่อนนะครับว่า เซียนที่ดีก็มีครับแต่น้อยมากๆเฉลี่ยร้อยละไม่เกิน 10 คนครับ
บทความนี้เขียนขึ้นจากการที่ รู้เห็นการกระทำของคนในวงการพระทั้งที่เป็นที่ยอมรับและไม่ยอมรับของสังคมเป็นระยะมาหลายสิบปี ครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ให้เพื่อนนักนิยมพระทั้งหลาย รู้จักการวางตัวและการคบหากับเซียนเล็กเซียนใหญ่ทั้งหลายให้ถูกต้องและอย่าได้ถลาลึก จะได้รอดจากปากเหยี่ยว ปากกา หรือสมควรเรียก เสือ สิงห์ กระทิง แรด จะถูกต้องกว่า....
1.ความเป็นเขี้ยวลากดิน
ความเป็นเขี้ยวลากดินนี้ในวงการพระก็เป็นเรื่องแปลก ไม่มีใครสอนหรือเปิดอบรมแต่มันเป็นขึ้นมาเองโดยสิ่งแวดล้อม เรียกตามแนวศิลป์อาจจะเรียกว่า สืบทอดกันมาโดยจิตวิญญาณ 55 อันนี้มองเป็นเป็นรูปธรรมได้ไม่ต้องใช้ความรู้สึก เช่น เวลาท่านนำพระแท้ๆไปแห่ขาย(ขอให้เป็นพระที่วงการเล่นหากัน เอาเป็นว่าพอนิยมกันนะครับ) จะได้คำวิพากวิจารณ์และการตีสีหน้าของเซียนเวลาส่องพระ ไม่รู้ท่านพวกนี้ทำไมต้องทำสีหน้าเครียดเหมือนเวลาญาติสนิทตัวเองป่วยไม่ทราบ พร้อมกับถามว่า “ตีไว้เท่าไร” (อันนี้คือเรียกว่ากฎหัวขาด ห้ามให้ราคาก่อนเผื่อคนเอาพระมาขายเป็นเอ๋อ) พอเราบอกไปจะได้ยินคำพูดต่อคือ “ลดได้เยอะมั้ย” พร้อมคำวิพากวิจารณ์แบบเรียกว่า เจ้าของพระได้ยินแล้วอยากจะขว้างพระตัวเองทิ้งตอนนั้นเสียให้รู้แล้วรู้รอดไปซะเลย เมื่อพูดคุยถึงจุดสุดท้ายราคาที่ได้คือ ราคำที่ต่ำกว่าราคาขายท้องตลาด หาร 2 หาร 3 นู่น..........
2.มาดเหลือแดรกกก....มากับเล่ห์เพทุบาย..
อันนี้ก้อต่อเนื่องจากข้อแรก คือเวลาเจอพระก้ำกึ่งหรือพระที่ดูยาก หรือพระที่ มีการสร้างคล้ายกันหลายสำนักแต่ตีไม่ออกว่าที่ไหน จะมีการกวักหรือโทรเรียก(อันนี้ตัวผมเรียกว่า เซียนรับเชิญ) เซียนสายตรงเป็นท่อมา ฮาๆๆๆๆ คราวนี้เรารอสักแป๊ป ก็จะเห็นเซียนที่ถูกเชิญมา ทั้งท่าเดิน ที่บางคนก็เดินถ่างขา ดูเหมือนคนเป็นซิฟิลิส(โรคคนแก่รุ่นเก๋า)ยังไงยังงั้น พร้อมสีหน้าเครียดอีกเหมือนกัน(คราวนี้ตีสีหน้าเหมือนรู้ว่าเมียมีชู้) พวกนี้ดูดีๆก็น่าสงสารเหมือนกันนะครับ รูปร่างหน้าตาส่วนใหญ่มักผิดระเบียบส่วนใหญ่หน้าตาน่ากลัวทั้งนั้น ชะลอยจะเหมือนคนโบราณว่า บุญทำกรรมแต่งเมื่อทำชั่วมากๆหน้าตาก็จะเริ่มเปลี่ยนไปในด้านมืด ภาษาอังกฤษเรียกDark Side 55(มองดูไม่น่าคบแววตาจะระแวดระวังตัว แต่ก็คอยมองหาเหยื่อเช่นกัน(ก็กลัวงาบโดนกระดูกติดC-4) ดีอยู่อย่างพวกนี้ส่วนใหญ่ได้เมียหน้าตาดี อิอิ..แล้วก็เหมือนเดิมครับ..คำพูดคำวิจารณ์ไม่ต่างกับเซียนท่านแรกแต่ที่มาแปลก คือคำตัดสิน ผมเคยนำกริ่ง หม้อน้ำมนต์โต เจ้าคุณศรี(สนธุ์) วัดสุทัศน์ไปปล่อยที่ท่าพระจันทร์ อ้ายเซียนรับเชิญ กลับตีเป็น ล.พ.ห้อง วัดช่องลมซะฉิบ! ซึ่งราคาค่านิยมต่างกันริบ แต่มันคงเป็นสันดานที่เห็นแก่ได้ที่ขาดซึ่งความสำนึก ที่สืบทอดต่อกันมาเป็นรุ่นๆ ดีนะครับที่ไม่ได้ขายไป แต่นำมาลงหนังสือขายได้เงินหลายหมื่นพวกท่าพระจันทร์ตอนนั้นตีเป็น ล.พ.ห้อง วัดช่องลมให้สี่ห้าพัน...
3.บุญคุณไม่ตอบแทน.....แต่ ถ้ามรึงแร้นแค้นกรู..ไม่คบ
เมื่อสมัยก่อน ประมาณปี2536-2540 ผมเป็นผู้รับเหมาก่อสร้าง พอมีเงินหมุนสบาย และชอบเช่าพระเก็บไว้ เช่น สาย ล.พ.พรหม, สาย วัดปากน้ำ, ล.ป.โต๊ะจนสนิทกับเซียนสายตรงท่านหนึ่งเพราะเช่าพระเขาเป็นเงินหลายๆแสน ในสาย ล.พ.พรหม ซึ่งตอนนั้นพระ ล.พ.พรหม ราคาไม่แพงมากเรียกว่าซื้อง่ายขายคล่อง มีพระ ล.พ.พรหม เป็นจำนวนมาก เมื่อตอนเซียนท่านนั้นจะซื้อบ้าน แต่ยังขาดสภาพคล่อง ได้เอ่ยปากขอยืมเงิน200,000.-เดือนกว่าจะให้คืน ผมหยิบเช็คเซ็นต์ให้ทันที โดยไม่คิดดอกเบี้ยและบอก มีเมื่อไรค่อยคืนก็ได้ แต่ประมาณเดือนกว่าก็ได้คืนครับ ก็นับว่าเครดิตเซียนท่านนี้ใช้ได้ทีเดียว จนมาถึงเมื่อพิษเศรษฐกิจ ปี2540 เกิด นักธุรกิจล้มระเนระนาด ผมก็เป็นผู้หนึ่งที่ได้รับผลกระทบอย่างหนัก โดยเฉพาะธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เดือดร้อนมากที่สุด ได้นำพระ ล.พ.พรหม ที่มีเป็นกล่องๆไปขายให้เซียนท่านนั้นเพื่อนำไปจ่ายค่าวัสดุก่อสร้างและค่าแรงงาน แต่คำตอบที่ได้คือ “ไม่อยากตีราคาให้คุณ..(ชื่อผม)..เลย ฝากที่ร้านขายให้ดีกว่านะ” อันนี้ผมเข้าใจครับเพราะถ้าเขาตีราคาให้ก็คงต่ำกว่าท้องตลาดเป็นครึ่งๆจึงไม่กล้าตีให้ แต่มีอยู่ครั้งหนึ่งผมเคยเอ่ยปาก ขอยืมเงิน แค่ 3000บาท แต่คำตอบที่ได้คือ การปฏิเสธ อันนี้ขอเตือนเป็นข้อคิดนะครับว่า เซียนท่านนั้นคงเห็นผมตกอับ แล้ว ซึ่งผิดกับเมื่อก่อนก็เลยไม่กล้าให้ยืม ชะลอยจะคิดว่าแต่ก่อน กรูยืมมึงเป็นแสน มรึงมีให้ แต่ตอนนี้ มรึงกับมายืมกรูแค่สามพัน 55 เรื่องไรกรูจะให้ ยังมีอีกคนครับเคยกู้เงินผมๆก็คิดดอกร้อยละ3 โดยไม่มีสัญญาหรือสิ่งค้ำประกันใดๆทั้งสิ้น ไปเป็นเงินหลายหมื่น ไม่มีต้นให้ก็ส่งแต่ดอกมาครับ เรียกว่าไม่มีกำหนดส่งต้น คนนี้หลายเดือนครับกว่าจะได้ต้นคืนแต่ก็ได้ครบครับไม่มีปัญหาใดๆ แต่ในยามที่ผมเดือดร้อนและเซียนท่านนี้มีเงินทองมากมาย เฉพาะพระในตู้ที่มีทั้งเลี่ยมทองและตลับทองคิดแค่ทองคำอย่างเดียวก็น่าจะหลักหลายแสนขึ้นครับ วันนั้นผมถือพระชินราชอินโดจีนไปห้าองค์ มูลค่าตามท้องตลาดน่าจะสองถึงสามหมื่นขึ้น ผมยื่นให้เขาพร้อมพูดว่า “เราขอยืมเงิน12,000 เราวางพระห้าองค์นี้ไว้ เป็นประกันให้ คิดดอกเท่าไรคิดไป” แต่คำตอบที่ได้คือ “สมัยนี้ใครจะเอาเงินมารับจำนำพระ เงินจม เอาไว้ซื้อพระไม่ดีกว่าหรือ ทำไมไม่ขายไปเลย” นี่คือสันดานของเซียนที่เห็นแต่ผลประโยชน์ที่ยามเรามีเงิน กับไม่มีเงิน ความสัมพันธ์ย่อมไม่เหมือนกัน แต่ยังดีครับเมื่อคราวนั้นยังมี คุณ อุ๊ กรุงสยาม เมื่อคราวที่ เปิดสำนักงานอยู่ข้างวัดราชนัดดา แล้วตอนนั้นมีนิตยสารกรุงสยาม กับนิตยสารในเครือ หัวใหม่ชื่อ “ราคา&พระเครื่อง” ออกมาวางแผง..ได้ลงพิมพ์ว่ารับจำนำพระ โดยคิดดอกร้อยละ5 ซึ่งผมถือว่าไม่แพงเลยถ้าไปเทียบกับการที่เราจะเอาไปขายแล้วโดนกดราคา และบางครั้งมันก็ไม่ใช่ราคาเพียงอย่างเดียว ผมว่านักนิยมพระทุกคน จะต้องมีพระที่ตัวเองรักอยู่ ไม่องค์หนึ่งก็หลายๆองค์ แต่เมื่อถึงคราวจำเป็นต้องใช้เงิน การจำนำพระไว้กับร้านที่เชื่อถือได้ เพื่อเอาเงินมาแก้ขัด ก็ยังเป็นทางออกที่ดี ซึ่งตอนนั้นผมจำนำพระชุดนี้เป็นปีครับ ส่งดอกครั้งละเดือนบ้าง ถ้าไม่มีก็ขอส่งดอกครึ่งเดือนบ้างทางร้านก็ไม่ว่าอะไร โดยโทรบอกเสมียนผู้หญิง(น่าตาน่ารักดี โทษทีที่จำชื่อเธอไม่ได้แล้ว) ว่าโอนดอกเบี้ยมาให้แล้วนะ เรียกว่าความคิดที่จะยึดพระลูกค้าไว้ไม่มีแน่นอน ซึ่งก็ถือว่าคุ้มตอนหลังผมขายพระชุดนี้ให้เพื่อนได้เงินมาหลายหมื่น ถ้าตอนนั้นขายให้เซียนไปคงได้ไม่เท่าไร ผมไม่รู้ว่า เดี่ยวนี้ ทางคุณ อุ๊ ยังให้บริการด้านนี้อยู่อีกไหมเพราะมันผ่านมาหลายๆปีแล้ว แต่ถ้ามีผมว่าช่วงนี้ก็เป็นโอกาสดีนะครับ
4.ไม่มีมิตรและศัตรูที่ถาวร
อันนี้เหมือนนักการเมืองน้ำเน่าปัจจุบันเป๊ะ....คนพวกนี้พอผลประโยชน์ร่วมกันก็กินเที่ยวด้วยกัน แต่พอผลประโยชน์ขัดกันก็โจมตีกันเอง เรื่องนี้ทุกท่านน่าจะเคยเจอ ถ้าสนิทกับตู้ไหน จนพอไว้เนื้อเชื่อใจก็จะได้ฟังเรื่องเล่าเค้ามหากาพย์ ไม่รู้จบ โจมตีกันไปมา
5.องค์เดียวกัน 15 นาที เปลี่ยนเป็น รุ่นอื่น
เคยเดินเล่นในบางลำพูงามวงค์วาน(ชื่อเมื่อก่อน)เผอิญเดินผ่าน ตู้หนึ่ง (มีชื่อเสียงในสายเครื่องรางพอสมควร) เห็นมีคนเอากะลาแกะ รูปราหูมาปล่อย ผมปาดตามองเห็นพระเลี่ยมพลาสติกอยู่ โดยจับขอบชิ้นกลางเป็นสีเหลือง ก็มองไว้ แต่ดูไม่เป็นหรอกครับ ได้ยินเสียงเซียนต่อรองกับผู้นำมาปล่อยว่าราคามันแรงไป แค่ ล.พ.ปิ่น ยุคต้น..ตอนนั้นผมยืนหันหลังให้เขาเพราะแกล้งทำเป็นส่องพระจากแผงขาจรอยู่ ซึ่งวันนั้นมีตลาดนัด ก็ฟังไป จนเขาตกลงราคาซื้อขายกันแค่ 800 บาท ในใจตอนนั้นผมก็อยากได้พระราหูมาใช้เสริมดวงอยู่เหมือนกัน คิดว่า ซื้อต่อคงไม่แพงมากแต่จะเข้าไปซื้อตอนนั้นเลยก็น่าเกลียด เลยแกล้งเดินไปที่อื่น รอบๆนั้น อีก 15 นาที เดินกลับมา ผมมายืนหน้าตู้ แล้วถามว่า “พี่ครับ ราหู องค์นี้ ของ ที่ไหนครับ” “องค์นี้กะลาแกะ ล.พ.น้อย ครับ”เซียนท่านนั้นตอบเล่นมาผมตัวชาไปเลย แต่ก็ยังรวบรวมสติท่ามกลางความตกตะลึง ถามกลับออกไปว่า“เท่าไรครับ”“22,000 ครับ” ตอนนั้นแทบล้มทั้งยืนเลยครับ ผมจำพระได้ครับ เลี่ยมกรอบพลาสติคจับขอบชั้นกลางเป็นสีเหลืองและในตู้มีองค์เดียวที่เลี่ยมแบบนี้ ไฉนจาก ล.พ.ปิ่น ผ่านไปไม่ถึง15นาที มันเป็น ล.พ.น้อย ได้ไง(วะ)แล้วราคานี่...อ่ะ มันพุ่งทะลุเพดานห้างไปชนโลกพระจันทร์จนต้องหาช่างมาซ่อมหลังคาห้างขนาดนั้นเชียวหรือ 800 เป็น 22000.-โอว์......อาร์....อูว์........
6.เพื่อนช่วยเพื่อน น้อยกว่านี้ได้ไง (พระของเพื่อนข้า ใคร! อย่าแตะ)
เมื่อหลายปีก่อน เซียนสายตรงเป็นท่อท่านหนึ่ง(ความจริงโดน2ถ้าไม่มีใครมานั้งมากกว่านี้) มีนิวาศสถานอยู่บนห้างๆนึง โดนพระสาย ท้องถิ่นตัวเอง(ถ้าบอกว่าเป็นพระกรุไหน จะรู้กันทั้งห้างเลย) ซึ่งเป็นหระหลักจัดอยู่ในความนิยมอันดับต้นๆ คราวนั้นโดนของยอดฝีมือปาดจนคอแทบขาด กว่าจะรู้เพราะคนที่นำมาปล่อย เอามาบ่อยอีกครั้งเลยชักเอะใจ เพราะซื้อขายกันครั้งแรกก็หลักหลายล้านไปแล้ว พอมารู้ก็ไม่รู้ทำไง เพราะพระที่ซื้อมาก็ปล่อยให้ลูกค้าไปหลายองค์แล้ว คราวนี้ปัญหามันอยู่ที่งานประกวดนี่ซี...เมื่อมีการนำพระกรุนี้(ซึ่งสุดท้ายคือพระเก๊นำมาส่งประกวด)กรรมการที่รับพระสายนี้ ท่านหนึ่งรู้ว่าพระองค์นี้ ซื้อมาจากที่ไหน(ก็ข่าวดังขนาดนั้น)จึงถามท่านประธานผู้จัดว่าจะทำไง สิ่งที่ได้ยินคือ “อ้าย.....มันโดนมา ช่วยรับหน่อยแล้วกัน”5555 น้ำใจช่างเป็นเลิศประเสริฐศรีดีแท้ทีเดียวเชียวนะมรึง......(กรณีนี้มีหลายครั้ง หลายเหตุการณ์ครับ จนเป็นเรื่องธรรมดาของกรรมการรับพระไปแล้ว)
7.ขึ้นทำเนียบ จับตาย!!!
เรื่องนี้แยบยลนิดหน่อย เพราะเกิดจากกลุ่มเซียนกลุ่มหนึ่ง จริงๆก็มีหลายกลุ่มแหละ เมื่อมีชื่อเสียง ก็ต้องทำหนังสือพระ(ที่เป็นปกแข็งหรือปกอ่อนแบบเฉพาะกิจ ไม่ใช่นิตยสารรายปักษ์หรือรายเดือน)ขึ้นมา อันถือว่า ขึ้นทำเนียบเซียนใหญ่ เพราะมีหนังสือปกแข็งในนามของตัวเองขึ้นมา เช่น เฉพาะกิจ ล.พ......... เฉพาะกิจ พระกริ่ง...... อะไรทำนองนี้ คราวนี้ได้การครับ กลุ่มตัวเองบางคนเห็นแก่ผลประโยชน์ โดยไม่เห็นแก่ความเดือดร้อนของชาวบ้าน ก็นำพระเก๊ยัดเข้ามาผสมโลง อาร์......คราวนี้พระเก๊ก็แทบเป็นพระแท้ไปโดยปริยายเพราะได้ลงหนังสือมีหลักฐานอ้างอิง แถม จัดทำโดยเซียนพระชื่อดังด้วย คนได้ซื้อพระไปก็อดที่จะภูมิใจไม่ได้ที่พระที่ตัวเองซื้อมาได้ลงอยู่ในหนังสือ....แต่คนขายก็ยิ้มอยู่ในใจเช่นกัน 555
8.งานบุญไม่อาราธนาศีล
พวกนี้งานบุญที่ไหน จะเลี่ยงอาราธนาศีลในข้อ 4 เป็นส่วนใหญ่ ก็ไม่รู้เพราะอะไร (ท่านผู้อ่านไปคิดดูเอาเอง)เวลาไปร่วมงานบุญ พอพระสงฆ์ท่านท่องมาถึงข้อที่4นี้ พวกนี้จะเงียบกริบ ไม่ยอมรับศีล (ไม่เชื่อลองสังเกตดู)
9.พระที่เซียนซื้อบางครั้งก็ไม่แท้เสมอไป(รู้ว่าเขาหลอก แต่เต็มใจให้หลอก)
เพราะบางทีเซียนใหญ่ก็ซื้อพระเก๊ไป ทั้งๆที่รู้ว่าเก๊(ในราคาที่ไม่ถูกนะครับ) เพราะพระนั้นเป็นพระที่ทำออกมาดีเรียกว่า เล่นได้ อันนี้ไม่เรียกว่าโดนนะครับ แต่ต้องเรียกว่า เต็มใจมากกว่า ผมเคยถามทำไมถึงซื้อ แล้วได้คำตอบที่ดูดีว่า “เอาไว้ดู เป็นตัวอย่าง” แถมยังซื้อแพงซะด้วยยกตัวอย่าง เช่น พระกรุๆหนึ่งของแท้ซื้อขายกันองค์ละหลายแสน แต่พอเจอพระฝีมือที่มีคนนำมาจะยิง ก็ออกตัวล้อฟรีไว้ก่อนเลยครับ “ขอไปเล่นน่า เท่านี้ได้ไหม” บางทีงงครับราคาของเก๊ เซียนซื้อเป็นหมื่น(บางทีหลายหมื่นด้วยซ้ำ) เสี่ย เน๊กไท ทั้งหลายที่ชอบซื้อกับเซียนหย่ายก็พึงสังวรไว้บ้างนะครับ
10.เซียนก็อยู่รูได้เช่นกัน (เมื่อเซียนกลายเป็นผีและผีกลายเป็นสาง นี่คือสุดยอดแห่งเซียน)
เกือบ10ปีแล้วเห็นจะได้มั้ง เซียนริมน้ำชื่อดังท่านหนึ่ง มีฝีมือในการเล่นพระสายเกจิ ลึกๆ แต่ดวงดาวลิขิตให้มาต้องติดการพนัน เป็นหนี้ปั๊วบอลนับล้าน ต้องหนีหัวซุก หัวซุน จนเซียนท่านนี้กลายเป็นผี ต้องหลบๆซ่อนๆ แต่เขา เก่งทั้งในเรื่องพิมพ์พระ และเนื้อพระ ก็เลยเสกพระเกจิชุดนึงเป็นพระยอดฝีมือออกมา(ผมเคยเห็นทุกขั้นตอนในการพิมพ์พระและทำพระให้เก่า โดยเพื่อนที่คบกันมานานที่เป็นผีสนามพาเข้าไป) อาละวาดครั้งแรกในถิ่นของตัวเองเรียกว่า โดนกันระนาว เพราะชุดแรกให้เด็กหรือผู้หญิงถือไป(นัยว่า ถ้าเด็กหรือผู้หญิงถือไป เซียนใหญ่ น้อยทั้งหลายจะระวังตัวน้อยลงแต่ตอนนี้คงไม่แล้วมั้ง) ได้ผลชุดแรก ถล่มเซียนใหญ่น้อยจนยับ และทุกวันนี้จากผีกลายเป็นสาง ได้ส่งพระฝีมือ ออกมาเป็นระลอกๆ จนมีชื่อเสียงทางด้านนี้เป็นอย่างมากและเป็นที่ทราบกันว่า หากพระเก๊ยอดผีมือนี้ส่งไปยิงผู้ใด สางตนนี้มักจะ ทราบเรื่องราวเสมอ ว่ามาจากสายไหน (มีหลายกลุ่ม หลายสาย บางกลุ่มก็ผลิตของฝีมือออกมาตามใบสั่งของเซียนใหญ่ที่มีผู้นับหน้าถือตาด้วยซ้ำ อนิจจา.....)และนี่คือผีที่กลายเป็นสางที่เซียนกลัวที่สุดตนหนึ่งเลยทีเดียว
บทสรุป
ทั้งหมดที่ผมรวบรวมมานั้น เป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่ง เรื่องลึกกว่านี้ยังมีอีกเยอะถ้านำมาเล่า กลัวว่าสังคมพระส่วนใหญ่จะรับไม่ได้ แต่ก็น่าจะพอเป็นประโยชน์ในการวางตัว และคบหากับเซียนบ้างนะครับ แต่อย่างที่บอก เซียนดีๆก็มี แต่น้อยครับ จึงไม่มีตัวอย่างในทางที่ดีมาเล่าให้ฟังได้มากเท่าไร หากใครมีประสบการณ์ในด้านดีๆ ก็นำมาเล่าสู่กันฟังในเวปบ้างก็จะดี เซียนคนไหนที่อยู่ข่ายที่เล่ามาก็สมควรจะสำเหนียกปรับปรุงตนเองเสียใหม่ ให้วงการพระเครื่องเป็นที่พึ่งพาของผู้ที่เดือดร้อนได้อีกทางหนึ่ง โดยไม่ถูกริดรอนสิทธิ์และเอาเปรียบมากจนเกินไป ใจเขาใจเรา...ครับ
********************************************
นี่คือวงการพระเครื่องเมืองไทย ........... ก๊อปเขามาครับ..อ่านแล้วน่ากลัวจริงๆ
***************************************************************
เรื่องราวในยุทธจักรพระล้วนซับซ้อน ไม่ว่าจะพระที่มีชีวิตหรือพระเครื่องก็ชวนปวดหัวคือกัน มีหลายอย่างที่หมกกันไว้โดยลูบหน้าปะจมูกมานานแล้วเพราะเอื้อเฟื้อประโยชน์กันเป็นขบวนการใหญ่ คนดีๆก็พอมีแต่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกเพราะเกี่ยวพันกันหลายฝ่าย ไม่มีใครอยากเอาคอไปพาดเขียงที่มีหลายมีดโต้รอสับอยู่ คนที่ตะกายดาวเพื่อปีนขึ้นไปอยู่บนสำนักบู๊ตึ๊งได้แล้วนั้นย่อมมีศิษย์และลูกน้องกันแทบทุกคนและทำได้ทุกอย่างเพื่อรักษาผลประโยชน์พวกพ้อง ซึ่งผลประโยชน์ในวงการพระไม่ใช่แค่ร้อยล้านในแต่ละปี แต่หลายพันล้านและยังเกี่ยวพันโยงใยในวงวานว่านเครือกันไปจนไล่หางว่าวไม่สิ้นสุดแบบแบ่งทางกันถ้อยทีถ้อยอาศัย
.
บรรยากาศในห้างพระนั้นหากใครเคยไปเดินจะแทบขาขวิดและอึดอัดมาก เดินไปทางไหนจะมีเสียงถามตลอดว่า “มีอะไรมาปล่อยไหมพี่” หากเราเดินเฉยผ่านไปแต่ถือถุงหรืออะไรน่าสงสัย จะมีสัญญาณมือส่งไปถึงโต๊ะต่อๆไป บางคนจะปวดหัวอึดอัดกับพลังแปลกๆที่ลอยอบอวลในห้างพระ พลังอำนาจทั้งพระทั้งผีที่มีเต็มไปหมด เคยพาคนฝึกฝนทางจิตชาวทิเบตไปเที่ยวดูตลาดพระเมืองไทย เขาตกใจว่าพลังงานไม่ดีมีมากได้อย่างไรในหมู่ร้านพระเครื่องที่เราคนไทยเคารพบูชา
.
บล๊อคเหรียญไพรีพินาศ(ไม่บอกว่าวัดไหน)ที่ยังอยู่และผลิตทายาทออกมาแบบไม่ปิดอู่ทุกวันนี้ทำให้คนขยาดไปกว่าครึ่ง เหรียญไตรภาคีอันดับหนึ่งเมืองไทยหลวงพ่อจังหวัดภาคกลางแบบใบเสมา และเหรียญหลักไตรภาคีจังหวัดชายทะเลใกล้กรุงเทพรูปไข่ ชุดตกค้างโรงปั๊มเป็นกระป๋องที่ออกมาขายทีละเหรียญก็หลักล้าน ยังทำให้ลือกันไม่จบทุกวันนี้ พระหลวงปู่ทวดโลหะ(ไม่ได้ระบุวัด)ที่ตกค้างเป็นลังเพราะหล่อเกินเพื่อสำรองกันเสียที่กรุงเทพก็เป็นปัญหาซ่อนในมุมมืด สมเด็จหล่อเนื้อโลหะผสมของหลวงพ่อในจังหวัดสิงห์บุรีที่บล๊อคยังอยู่ในโรงงานก็ยังเป็นเสี้ยนตำใจทำให้ราคาไม่ขยับแม้จะเป็นพระเครื่องที่ดีมากๆ
.
พระกริ่งสายวัดสุทัศน์หลายรุ่นยังไปเจอแม่แบบ(ต้นแบบพระที่ไม่ใช่หุ่นเทียน)เก็บอยู่ที่โรงงานชื่อ พ. ทำให้วุ่นๆกันอยู่พักหนึ่งและราคาร่วงลงมามาก พระพุทโธน้อยเนื้อดิน(ไม่บอกว่าของวัดไหน) แน่ใจหรือว่าสร้างและเข้าพิธีพร้อมกันทั้งหมด มาตรฐานยุคเก่าจะดูหน้าของพระว่าหน้าพิมพ์ใดจะคู่กับหลังยันต์อะไรเป็นสำคัญ พระผงพรายกุมาร(ยังไม่ได้บอกว่าของวัดใด)ที่สลับความจริงไปเกือบหมดสิ้นแล้ว พระผงขาวๆของหลวงปู่ผู้มีบารมีมากล้นแห่งเมืองหลวงเก่าที่ปัญหามากมายเรื่องทันหรือไม่ทันเสกเพราะพิมพ์ใช่เนื้อถูกแต่ผิดธรรมชาติ และบล๊อคตัวจริงเสียงจริงจำนวนกว่าสิบชุดของพระเนื้อผงเนื้อดินจากวัดทางภาคกลางที่หลวงพ่อละสังขารแล้วแต่ยังไม่เน่าเปื่อยวัดหนึ่งก็ไปตกอยู่กับคนชื่อจีนๆ วงในรู้กันดีว่าบล๊อคชุดนั้นของจริงแท้แน่นอน ทุกวันนี้กดเองเสกเองและออกมาสู่วงการพระทุกอาทิตย์แบบอีกสิบปีก็ไม่หมดแต่ครั้งละไม่มากให้ตื่นตกใจ พิมพ์น่ะหรือ 99.9% เนื้อไม่ไกลความจริงแต่ธรรมชาติความเก่ายังต้องพัฒนาอีกไม่น้อย
.
เหรียญดังของเมืองระยองหลักแสนกว่าๆสองแบบก็ปล่อยมาแล้ว ของสกลนคร ชัยนาท เพชรบุรี ของพัทลุง เชียงใหม่และกทม.อีกนิดหน่อย(รู้เท่าที่คนโดนมาโวยวาย) เขาจะเน้นเหรียญช่วงปี 2510 เป็นต้นมาแบบปั๊มนูนสูงตัดด้วยเครื่อง เพราะสแกนถอดแบบได้ละเอียด อย่าไปคิดว่าทำได้ไม่เหมือนหรอก บางชิ้นส่วนของเครื่องจักรไฮเทคบางอย่างต้องใช้ความละเอียดมากกว่าปลอมพระเครื่องพวกเหรียญมากนัก เขาก็ยังทำได้เหมือนเต็มร้อย เรื่องขอบข้างรอยตัดนั้นไม่สามารถใช้ได้100%อีกต่อไปแต่ก็ยังใช้ประกอบการพิจารณาได้มากกว่าหน้าและหลังเหรียญ แม้แต่เหรียญจตุรพิธของหลวงพ่อกวยที่อาจารย์ชื่อดังโดนไปนับร้อยๆเหรียญนั้น รู้กันหรือไม่ว่าเมื่อคืนกันแล้วมีการผ่องถ่ายไปออกตัวที่ไหนพร้อมกับพี่น้องท้องเดียวกันที่คลอดมาพร้อมๆกันอีกนับพันชิ้น
.
เรื่องเหล่านี้เป็นน้ำจิ้มรสเผ็ดแค่สิบเปอร์เซ็นต์ในวงการพระ เอาแค่หอมปากหอมคอพอเป็นแนวทางระวังระไวก็แล้วกัน เว้นช่องว่างให้เขาทำมาหากินกันตามอัธยาศัย โดยเรื่องพวกนี้ไม่ได้ยกเมฆมาเล่าเอามันส์ หากใครมีเพื่อนพ้องวงในระดับเซียนเหยียบเมฆที่อยู่บนหอคอยงาช้างก็สอบถามกันดูเอาได้และจะตกใจกับเรื่องแรงกว่านี้อีกมากที่ขยิบตาเหยียบตีนกันไว้ บางอย่างเคยมีคนถ่ายภาพมาลงไว้ในหนังสือพระรุ่นเก่าๆเมื่อมีการท้าพิสูจน์และพูดแดกดันท้าทายกันมาแล้ว และคนที่แฉเรื่องเตือนใจแบบนี้ก็ถูกขับออกจากกลุ่มเพื่อนนักนิยมพระโดยหาว่านอกคอกคิดล้างครู ทั้งๆที่เขาเจตนาตีแผ่เรื่องไม่ดีเพื่อคนรุ่นหลัง เหล่าวัวสันหลังหวะก็ไล่ขวิดเขาโดยคนอื่นๆได้แต่มองเฉยเพราะขาเจ็บตาแตกด้วยกันแล้วแทบทุกคน คนที่ท้าทายว่าไม่มีจริงก็เงียบไปไม่พูดอะไรอีก ทำเป็นพูดว่ามันก็ได้แต่โจมตีเพราะอยากดังเท่านั้นแต่เมื่อเขาท้าล้างตาก็เงียบฉี่ แม้แต่ที่เอามาเล่าเตือนใจโดยระวังไม่ระบุให้ใครเสียหายแบบนี้เดี๋ยวก็มีก้อนหินโยนมาลองเชิงแน่นอน ไม่ในเวปนี้ก็ในเวปอื่นเพราะร้อนตัวหรือตำใจก็เหลือจะเดาถูก
.
นี่คือวงการพระเครื่องเมืองไทย แดนสนธยาที่แสนลึกลับและซับซ้อนทั้งเป็นวังวนที่วังเวงและจะไม่มีใครสามารถจัดระเบียบให้เรียบร้อยขาวสะอาดได้เลยตราบเท่าที่ยังใช้เงินเป็นตัวแลกเปลี่ยนเพื่อบูชาพระแท้ เมื่อใดที่พระเครื่องมีแค่แจกฟรีเท่านั้นจึงจะไม่มีคนทำปลอมดังเช่นยุคสมัยของสมเด็จโตวัดระฆัง ที่ท่านทำแจกฟรีไปเรื่อยๆโดยคนนับถือศรัทธาก็เพียงรอขอรับจากท่าน และเมื่อมีค่านิยมมากขึ้นจนต้องแลกเปลี่ยนด้วยเงินเพื่อครอบครองก็มีคนทำเลียนแบบคือยายขำ
.
บนห้างพระเครื่องแทบทุกที่นั้นอีกไม่นานก็ต้องปิดซ่อมบำรุงใหญ่เพราะทั้งพื้นและผนังโดยรอบมีแต่รอยเขี้ยวลงลึกไปทุกตารางนิ้ว คนธรรมดาๆเดินไปโดยไม่ระวังตัวก็อาจโดนปังตอเจ็บตัวได้ ความรอบรู้รอบคอบและระมัดระวังละเอียดลออ ไม่อยากได้ไม่อยากมี ไม่อยากดีไม่อยากเก็บคือเกราะป้องกันระดับหนึ่ง สิ่งที่ทุกวันนี้ยังขาดๆเกินๆคือเนื้อแท้และอายุเวลาตามธรรมชาติจริงๆที่ระดับปรมาจารย์ใช้เป็นข้อยุติในการพิจารณา เล่าเป็นเกร็ดความรู้เพื่อเตือนใจว่าเดี๋ยวนี้เขาทำได้แล้วทุกอย่าง อย่าคิดแบบเก่าๆอีกเลย คนที่ว่าแน่กว่าท่านก็โดนมาแล้วและโดนทีหนึ่งๆไม่ใช่หลักหมื่น เซียนด้วยกันเองเผลอเมื่อไรยังเลือดสาด เดี๋ยวนี้ไม่มีแล้วแบบคำที่ว่า “เสือไม่กินเนื้อเสือด้วยกัน” ผิดพลาดพลั้งเผลอเป็นโดน
************************************************
การเรียกตะปูออกจากตัว โดยคนเรียกออกเป็นผู้ทำใส่ไว้เอง----(บทความคัดลอกจากเว็ปๆ หนึ่ง)
เรื่องได้พบเห็นมาเมื่อเกือบ 30 ปีมาแล้ว เรื่องนี้เป็นเรื่องที่น่ากลัวมากๆ เหตุเพราะว่าการกระทำที่เป็นโทษนั้นเกิดขึ้นจริง แต่ผู้กระทำนำมาใช้เป็นหนทางหาประโยชน์เข้าตนเองแบบไม่กลัวบาปเลยแม้แต่น้อย โดยเรื่องนี้เกิดขึ้นในจังหวัดภาคกลาง ตัวเจ้าสำนักสำแดงตนว่าเป็นร่างทรงของเจ้าพ่อ 1 หรือ 2 ตน แล้วแต่ว่าจะเชิญตนใดจะมาลงร่าง (ซึ่งไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าเป็นการเข้าทรงจริงรึไม่?)
.
ในสำนักทรงนี้จะพบผู้ป่วย(จริง)เข้ามารับการรักษาเนื่องจากถูกคุณไสย เมื่อมีการเชิญทรงแล้ว เจ้าพ่อในร่างทรงก็จะทำการตรวจผู้ป่วยว่ามีสิ่งใดแปลกปลอมแอบแฝงอยู่ในร่างกายหรือไม่? ซึ่งเกือบร้อยทั้งร้อยของผู้ป่วยที่ถูกหามมา จะพบตะปูอยู่ในร่าง (หรืออาจเป็นลวดโลหะ ต่างๆ) เจ้าพ่อก็จะทำการใช้อำนาจของตนบริกรรมคาถางึมงัมพรวด แล้วกำหนดจุดที่จะให้ตะปูโผล่ออมาตามร่างกาย เช่น หัวไหล่ หน้าท้อง ฝ่ามือ เท้า เมื่อบริกรรมอยู่ ก็จะปรากฏเห็นด้วยตาได้ชัดเจนว่า ผิวหนังของผู้ป่วยมีรอยดุนนูนขึ้นมาเป็นจุดปลายแหลมเหมือนวัตถุที่มีความแหลมพยายามดันขึ้นมา
.
จากนั้นเจ้าพ่อก็จะใช้มีดกรีดลงบนผิวหนังตรงจุดนั้นเป็นแผลรูปกากบาท ก็จะเห็นปลายตะปูที่เป็นส่วนแหลมโผล่ทะลุออกมา จากนั้นจึงใช้คีมคีบให้แน่นเพื่อดึงตะปูออกมาจากตัวผู้ป่วย บางคนมีตะปูที่ถูกเรียกในลักษณะนี้หลายตัว บางคนก็น้อยกว่า ผู้ป่วยพอถูกดึงตะปูก็ร้องโอดโอยทุกครั้งด้วยความเจ็บปวด ที่น่าสังเกตคือ ผู้ป่วยมาจากสถานที่ต่างกัน คนละจังหวัด คนละภาค แต่ตะปูที่อยู่ในตัว มีลักษณะยาวเรียกได้ว่าเท่ากัน ขนาดความยาวเท่ากัน ความหนาเท่ากัน และมีรอยตัดหัวตะปูด้วยคีมชนิดเดียวกันเหมือนกันทั้งสิ้น ทำให้เชื่อได้ว่า ที่สำนักทรงนี้เองเป็นผู้ปล่อยใส่เอง แล้วรอผู้ป่วยมารับการรักษาเรียกออกได้จริง ทุกคนก็ต้องเสียค่าครูหรือค่าใช้จ่ายตามกำหนดของสำนัก บางคนโดนตะปูเรียกออกมานับสิบๆครั้ง มีน้ำหนักรวมถึง 4 ก.ก. เรื่องนี้เกิดขึ้นจริงและโด่งดังมาแล้ว
.
เรื่องนี้สอบถามครูบาอาจารย์ที่รู้จักนับถือซึ่งท่านได้อธิบายว่า เมื่ออยู่ในสำนักนั้นเขาเรียกตะปูออกมาจากร่างกายได้จริง (แน่นอนต้องเป็นดังนั้น เพราะเป็นผู้ปล่อยเข้าไปเอง) แต่เมื่อผู้ป่วยหรือเหยื่่อออกจากสำนักไป จะต้องออกทางประตูซึ่งเหนือประตูสำนักนั้นจะมีวัตถุ 2 ชิ้นลักษณะเป็นก้านยาวทำด้วยไม้วางไขว้กันเป็นรูปกากบาทมุมสูงแบบหน้าจั่ว ซึ่งอาจารย์ไม่ได้ไปด้วยเลยแต่บอกได้ถูกต้อง แสดงว่า วิชาแบบนี้มีการทำกันมานานแล้ว และผู้ที่เรียนไสยเวทย์จึงรับรู้รับทราบกันต่อๆมา ท่านอาจารย์ยังบอกด้วยว่า พวกที่เข้าไปในสำนักทรงนั้น ถ้าไม่มีครูบาอาจารย์หรือพระเครื่องหรือของคุ้มกันตัวกันแล้ว เมื่อเดินลอดประตูสำนักของเขาออกมาก็ไม่แคล้ว ต้องวนเวียนไปให้เขาถอนออกเช่นกัน เมื่อทราบดังนั้นก็ไม่มีใครคิดไปกันอีกเลย ต่อมาภายหลังทราบว่าสำนักนี้ได้ย้ายออกไปจากที่เดิมแต่ไม่ได้เลิก เพียงแต่มีฐานะดีขึ้นมากมาย และเข้าตั้งสำนักอยู่ในเมืองหลวงเกินกว่าสิบปีแล้ว
อีกเหตุผลหนึ่งที่เราควรจะมีวัตถุมงคลจากพ่อแม่ครูอาจารย์ติดตัวไว้เสมอ...
ไว้จะเล่าเรื่องจริงที่เกิดขึ้นกับน้องชายตอนบวชพระให้อ่านครับ ... ลมเพ ลมพัดหนังหมา....
.
การมีวัตถุมงคลติดตัวไม่ใช่เรื่องงมงาย เป็นเรื่องดีที่มีพระติดกายเป็นพุทธานุสติเสมอมิให้ทำชั่วกันง่ายจนเกินไป....
************************************************คนเช็คพระ พระเช็คคน เครดิต คุณสิทธิ์ Luangpudu.com
******************************************
ในสมัยที่หลวงปู่ดู่ยังมีชีวิต มีลูกศิษย์นักเช็คพระ (นักสัมผัสพลังในวัตถุมงคล) คนหนึ่ง นำวัตถุมงคลส่วนตัวมาเพื่อขอให้หลวงปู่อธิษฐานจิตให้ ซึ่งหลวงปู่ก็ได้เมตตาอธิษฐานให้ตามประสงค์
.
ผ่านไปไม่กี่วัน ภายหลังกลับจากงานเลี้ยง เขาก็นำวัตถุมงคลดังกล่าวมาพิจารณา (พูดตรงไปตรงมาก็คือนำมาจับพลัง) ปรากฏว่าปีติเกิดน้อยมาก จนเขาต้องเช็คซ้ำ ๆ หลายครั้ง ซึ่งได้ผลอย่างเดิม จนทำให้เขาประหลาดใจ เพราะจากประสบการณ์ส่วนตัว วัตถุมงคลของหลวงปู่เมื่อนำมากำแล้วจะต้องเกิดปีติถึงศีรษะทุกครั้งไป แต่ทำไมกับวัตถุมงคลชิ้นนี้จึงไม่แรงอย่างเคย
ต่อมาเขาจึงได้มากราบเรียนถามข้อข้องใจกับหลวงปู่ หลวงปู่จึงได้เตือนเขาว่า “วัตถุมงคลอันนี้ ข้าทำไว้เช็คจิตของแกเอง”
.
เขาต้องอึ้งไป เพราะไม่เคยเจอแบบนี้ พอกลับไปบ้าน เขาก็พยายามภาวนารักษาใจให้ดีต่อเนื่องกันหลายวัน จากนั้นจึงไปหยิบวัตถุมงคลชิ้นเดิมขึ้นมาเช็คอีก ทีนี้ปีติท่วมท้น จนทำให้เขาต้องกราบขอขมาเพราะความไม่รู้จึงได้นึกปรามาสบารมีพระ ซึ่งเหตุการณ์ครั้งนั้นถือว่าหลวงปู่ได้เมตตาให้บทเรียนที่มีค่ายิ่งแก่เขา ที่ทำให้เขามิอาจลำพองใจที่จะเที่ยวด่วนสรุปพุทธคุณที่มีอยู่ในองค์พระอีกต่อไป เพราะผลการเช็คนั้นขึ้นอยู่กับสภาพจิตของผู้เช็คเป็นสำคัญ จิตหยาบก็สัมผัสได้เพียงผิวเผิน จิตละเอียดก็สัมผัสได้ลึกซึ้งไปตามลำดับ จึงว่าบางครั้ง “พระท่านเช็คเรา มิใช่เราเช็คท่าน”
************************************************
************************************************
สมัยก่อนโจรกับเครื่องรางพระเครื่องเป็นของคู่กัน ...
สมัยที่เสือขาวจะถูกยิงเป้านั้น (เสือขาวเป็นจอมโจรเจ้าของฉายาขุนโจรร้อยศพ มีประวัติมหาโหดมากฆ่าได้แม้กระทั่งเด็กแรกเกิด เสือขาวมีของดีที่อยู่กับตัวคือ "ลูกอมหลวงพ่อดิ่ง วัดบางวัว จังหวัดฉะเชิงเทรา") หลวงพ่อดิ่งได้เตือนเสือขาวว่า "มึงจะต้องตายโหงหากไม่เลิกเป็นโจร" เสือขาวตอนนั้นกำลังทะนงตัว เพราะไม่มีอาวุธใด ๆ ทำอันตรายเสือขาวได้เลย ปืนก็ยิงไม่ออก มีดก็แทงไม่เข้า ความเป็นอมตะของเสือขาวนี้เอง ทำให้เกิดความลำพองใจไม่ฟังคำเตือนของหลวงพ่อดิ่งซึ่งเป็นอาจารย์ของตัวเอง ตำรวจชุดไล่ล่าซึ่งประกอบด้วย ร.ต.อ.พจน์ รัตนดิลก จ่าบุญมี แก่นกระโทก จ่าดวง เดชชาติ ได้มาหาหลวงพ่อดิ่งที่วัดบางวัว แล้วถามว่าจริงหรือที่ว่าเสือขาวนั้นหนังเหนียว หลวงพ่อดิ่งบอกว่า "จริง ไอ้ขาวมันหนังเหนียว ยิงฟันไม่เข้าหรอก แต่มันจะแพ้ดวงของมันเอง อาตมาบอกไม่ได้หรอกว่าจะสังหารไอ้ขาวได้อย่างไร"
.
ตำรวจชุดไล่ล่าลาหลวงพ่อดิ่งกลับ ในขณะนั้นมีตาเถรคนหนึ่งซึ่งรู้จักกับจ่าบุญมีได้มาบอกว่า "ถ้าจะสังหารไอ้ขาว จะต้องใช้ลูกปืนที่หัวกระสุนทำด้วยใบมีดหมอ มีดหมอต้องเป็นของหลวงพ่อโศก วัดปากคลอง จังหวัดเพชรบุรี ซึ่งหลวงพ่อโศกเป็นพระสหายของหลวงพ่อดิ่ง วัดบางวัว วิชาอาคมของหลวงพ่อดิ่งที่ลงไว้ หลวงพ่อโศกท่านจะจารแก้ไว้บนใบมีดหมอของท่าน" สมัยก่อนนั้นมีดหมอของหลวงพ่อโศก วัดปากคลองยังพอที่จะหาได้ไม่เหมือนในเวลานี้ ซึ่งหามีดหมอของท่านไม่ได้อีกแล้ว ซึ่งหาได้ก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าจะเป็นของแท้หรือเปล่า เพราะของปลอมมีแยะเหลือเกิน ทำได้เหมือนของจริงจนแยกแยะไม่ออก เสือขาวได้ปะทะกับตำรวจชุดไล่ล่าอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนกับทุกครั้ง เพราะกระสุนเพียงนัดเดียวมันก็เกินพอที่จะทำให้เสือขาวถึงกับทรุดท้องทะลุ แม้ว่าจะไม่ตายแต่ก็คางเหลืองสิ้นลายของคำว่า "จอมโจรหนังเหนียว" นับตั้งแต่บัดนั้น เสือขาวถูกพิพากษาโทษให้ประหารชีวิต (ยิงเป้า) ซึ่งกระสุนที่เพชรฆาตใช้สังหารเสือขาว หัวกระสุนทั้งหมดที่ใช้ยิงทำจากใบมีดหมอของหลวงพ่อโศกทุกนัด
************************************************
************************************************
บทความของ คุณ wertex ขอบคุณมากครับ
เรื่องที่คนเล่นพระต้องรู้ แต่เซียนพระไม่อยากอ่าน
(เมื่อสมันน้อยหาญกล้าวิจารณ์เซียน)
เมื่อสมันน้อยๆ หาญกล้าวิจารณ์เรียน(เรื่องที่คนเล่นพระต้องรู้แต่เซียนไม่อยากอ่าน)
วันนี้เรามามองเซียนพระเครื่องกันดีกว่า แต่ขอออกตัวก่อนนะครับว่า เซียนที่ดีก็มีครับแต่น้อยมากๆเฉลี่ยร้อยละไม่เกิน 10 คนครับ
บทความนี้เขียนขึ้นจากการที่ รู้เห็นการกระทำของคนในวงการพระทั้งที่เป็นที่ยอมรับและไม่ยอมรับของสังคมเป็นระยะมาหลายสิบปี ครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ให้เพื่อนนักนิยมพระทั้งหลาย รู้จักการวางตัวและการคบหากับเซียนเล็กเซียนใหญ่ทั้งหลายให้ถูกต้องและอย่าได้ถลาลึก จะได้รอดจากปากเหยี่ยว ปากกา หรือสมควรเรียก เสือ สิงห์ กระทิง แรด จะถูกต้องกว่า....
1.ความเป็นเขี้ยวลากดิน
ความเป็นเขี้ยวลากดินนี้ในวงการพระก็เป็นเรื่องแปลก ไม่มีใครสอนหรือเปิดอบรมแต่มันเป็นขึ้นมาเองโดยสิ่งแวดล้อม เรียกตามแนวศิลป์อาจจะเรียกว่า สืบทอดกันมาโดยจิตวิญญาณ 55 อันนี้มองเป็นเป็นรูปธรรมได้ไม่ต้องใช้ความรู้สึก เช่น เวลาท่านนำพระแท้ๆไปแห่ขาย(ขอให้เป็นพระที่วงการเล่นหากัน เอาเป็นว่าพอนิยมกันนะครับ) จะได้คำวิพากวิจารณ์และการตีสีหน้าของเซียนเวลาส่องพระ ไม่รู้ท่านพวกนี้ทำไมต้องทำสีหน้าเครียดเหมือนเวลาญาติสนิทตัวเองป่วยไม่ทราบ พร้อมกับถามว่า “ตีไว้เท่าไร” (อันนี้คือเรียกว่ากฎหัวขาด ห้ามให้ราคาก่อนเผื่อคนเอาพระมาขายเป็นเอ๋อ) พอเราบอกไปจะได้ยินคำพูดต่อคือ “ลดได้เยอะมั้ย” พร้อมคำวิพากวิจารณ์แบบเรียกว่า เจ้าของพระได้ยินแล้วอยากจะขว้างพระตัวเองทิ้งตอนนั้นเสียให้รู้แล้วรู้รอดไปซะเลย เมื่อพูดคุยถึงจุดสุดท้ายราคาที่ได้คือ ราคำที่ต่ำกว่าราคาขายท้องตลาด หาร 2 หาร 3 นู่น..........
2.มาดเหลือแดรกกก....มากับเล่ห์เพทุบาย..
อันนี้ก้อต่อเนื่องจากข้อแรก คือเวลาเจอพระก้ำกึ่งหรือพระที่ดูยาก หรือพระที่ มีการสร้างคล้ายกันหลายสำนักแต่ตีไม่ออกว่าที่ไหน จะมีการกวักหรือโทรเรียก(อันนี้ตัวผมเรียกว่า เซียนรับเชิญ) เซียนสายตรงเป็นท่อมา ฮาๆๆๆๆ คราวนี้เรารอสักแป๊ป ก็จะเห็นเซียนที่ถูกเชิญมา ทั้งท่าเดิน ที่บางคนก็เดินถ่างขา ดูเหมือนคนเป็นซิฟิลิส(โรคคนแก่รุ่นเก๋า)ยังไงยังงั้น พร้อมสีหน้าเครียดอีกเหมือนกัน(คราวนี้ตีสีหน้าเหมือนรู้ว่าเมียมีชู้) พวกนี้ดูดีๆก็น่าสงสารเหมือนกันนะครับ รูปร่างหน้าตาส่วนใหญ่มักผิดระเบียบส่วนใหญ่หน้าตาน่ากลัวทั้งนั้น ชะลอยจะเหมือนคนโบราณว่า บุญทำกรรมแต่งเมื่อทำชั่วมากๆหน้าตาก็จะเริ่มเปลี่ยนไปในด้านมืด ภาษาอังกฤษเรียกDark Side 55(มองดูไม่น่าคบแววตาจะระแวดระวังตัว แต่ก็คอยมองหาเหยื่อเช่นกัน(ก็กลัวงาบโดนกระดูกติดC-4) ดีอยู่อย่างพวกนี้ส่วนใหญ่ได้เมียหน้าตาดี อิอิ..แล้วก็เหมือนเดิมครับ..คำพูดคำวิจารณ์ไม่ต่างกับเซียนท่านแรกแต่ที่มาแปลก คือคำตัดสิน ผมเคยนำกริ่ง หม้อน้ำมนต์โต เจ้าคุณศรี(สนธุ์) วัดสุทัศน์ไปปล่อยที่ท่าพระจันทร์ อ้ายเซียนรับเชิญ กลับตีเป็น ล.พ.ห้อง วัดช่องลมซะฉิบ! ซึ่งราคาค่านิยมต่างกันริบ แต่มันคงเป็นสันดานที่เห็นแก่ได้ที่ขาดซึ่งความสำนึก ที่สืบทอดต่อกันมาเป็นรุ่นๆ ดีนะครับที่ไม่ได้ขายไป แต่นำมาลงหนังสือขายได้เงินหลายหมื่นพวกท่าพระจันทร์ตอนนั้นตีเป็น ล.พ.ห้อง วัดช่องลมให้สี่ห้าพัน...
3.บุญคุณไม่ตอบแทน.....แต่ ถ้ามรึงแร้นแค้นกรู..ไม่คบ
เมื่อสมัยก่อน ประมาณปี2536-2540 ผมเป็นผู้รับเหมาก่อสร้าง พอมีเงินหมุนสบาย และชอบเช่าพระเก็บไว้ เช่น สาย ล.พ.พรหม, สาย วัดปากน้ำ, ล.ป.โต๊ะจนสนิทกับเซียนสายตรงท่านหนึ่งเพราะเช่าพระเขาเป็นเงินหลายๆแสน ในสาย ล.พ.พรหม ซึ่งตอนนั้นพระ ล.พ.พรหม ราคาไม่แพงมากเรียกว่าซื้อง่ายขายคล่อง มีพระ ล.พ.พรหม เป็นจำนวนมาก เมื่อตอนเซียนท่านนั้นจะซื้อบ้าน แต่ยังขาดสภาพคล่อง ได้เอ่ยปากขอยืมเงิน200,000.-เดือนกว่าจะให้คืน ผมหยิบเช็คเซ็นต์ให้ทันที โดยไม่คิดดอกเบี้ยและบอก มีเมื่อไรค่อยคืนก็ได้ แต่ประมาณเดือนกว่าก็ได้คืนครับ ก็นับว่าเครดิตเซียนท่านนี้ใช้ได้ทีเดียว จนมาถึงเมื่อพิษเศรษฐกิจ ปี2540 เกิด นักธุรกิจล้มระเนระนาด ผมก็เป็นผู้หนึ่งที่ได้รับผลกระทบอย่างหนัก โดยเฉพาะธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เดือดร้อนมากที่สุด ได้นำพระ ล.พ.พรหม ที่มีเป็นกล่องๆไปขายให้เซียนท่านนั้นเพื่อนำไปจ่ายค่าวัสดุก่อสร้างและค่าแรงงาน แต่คำตอบที่ได้คือ “ไม่อยากตีราคาให้คุณ..(ชื่อผม)..เลย ฝากที่ร้านขายให้ดีกว่านะ” อันนี้ผมเข้าใจครับเพราะถ้าเขาตีราคาให้ก็คงต่ำกว่าท้องตลาดเป็นครึ่งๆจึงไม่กล้าตีให้ แต่มีอยู่ครั้งหนึ่งผมเคยเอ่ยปาก ขอยืมเงิน แค่ 3000บาท แต่คำตอบที่ได้คือ การปฏิเสธ อันนี้ขอเตือนเป็นข้อคิดนะครับว่า เซียนท่านนั้นคงเห็นผมตกอับ แล้ว ซึ่งผิดกับเมื่อก่อนก็เลยไม่กล้าให้ยืม ชะลอยจะคิดว่าแต่ก่อน กรูยืมมึงเป็นแสน มรึงมีให้ แต่ตอนนี้ มรึงกับมายืมกรูแค่สามพัน 55 เรื่องไรกรูจะให้ ยังมีอีกคนครับเคยกู้เงินผมๆก็คิดดอกร้อยละ3 โดยไม่มีสัญญาหรือสิ่งค้ำประกันใดๆทั้งสิ้น ไปเป็นเงินหลายหมื่น ไม่มีต้นให้ก็ส่งแต่ดอกมาครับ เรียกว่าไม่มีกำหนดส่งต้น คนนี้หลายเดือนครับกว่าจะได้ต้นคืนแต่ก็ได้ครบครับไม่มีปัญหาใดๆ แต่ในยามที่ผมเดือดร้อนและเซียนท่านนี้มีเงินทองมากมาย เฉพาะพระในตู้ที่มีทั้งเลี่ยมทองและตลับทองคิดแค่ทองคำอย่างเดียวก็น่าจะหลักหลายแสนขึ้นครับ วันนั้นผมถือพระชินราชอินโดจีนไปห้าองค์ มูลค่าตามท้องตลาดน่าจะสองถึงสามหมื่นขึ้น ผมยื่นให้เขาพร้อมพูดว่า “เราขอยืมเงิน12,000 เราวางพระห้าองค์นี้ไว้ เป็นประกันให้ คิดดอกเท่าไรคิดไป” แต่คำตอบที่ได้คือ “สมัยนี้ใครจะเอาเงินมารับจำนำพระ เงินจม เอาไว้ซื้อพระไม่ดีกว่าหรือ ทำไมไม่ขายไปเลย” นี่คือสันดานของเซียนที่เห็นแต่ผลประโยชน์ที่ยามเรามีเงิน กับไม่มีเงิน ความสัมพันธ์ย่อมไม่เหมือนกัน แต่ยังดีครับเมื่อคราวนั้นยังมี คุณ อุ๊ กรุงสยาม เมื่อคราวที่ เปิดสำนักงานอยู่ข้างวัดราชนัดดา แล้วตอนนั้นมีนิตยสารกรุงสยาม กับนิตยสารในเครือ หัวใหม่ชื่อ “ราคา&พระเครื่อง” ออกมาวางแผง..ได้ลงพิมพ์ว่ารับจำนำพระ โดยคิดดอกร้อยละ5 ซึ่งผมถือว่าไม่แพงเลยถ้าไปเทียบกับการที่เราจะเอาไปขายแล้วโดนกดราคา และบางครั้งมันก็ไม่ใช่ราคาเพียงอย่างเดียว ผมว่านักนิยมพระทุกคน จะต้องมีพระที่ตัวเองรักอยู่ ไม่องค์หนึ่งก็หลายๆองค์ แต่เมื่อถึงคราวจำเป็นต้องใช้เงิน การจำนำพระไว้กับร้านที่เชื่อถือได้ เพื่อเอาเงินมาแก้ขัด ก็ยังเป็นทางออกที่ดี ซึ่งตอนนั้นผมจำนำพระชุดนี้เป็นปีครับ ส่งดอกครั้งละเดือนบ้าง ถ้าไม่มีก็ขอส่งดอกครึ่งเดือนบ้างทางร้านก็ไม่ว่าอะไร โดยโทรบอกเสมียนผู้หญิง(น่าตาน่ารักดี โทษทีที่จำชื่อเธอไม่ได้แล้ว) ว่าโอนดอกเบี้ยมาให้แล้วนะ เรียกว่าความคิดที่จะยึดพระลูกค้าไว้ไม่มีแน่นอน ซึ่งก็ถือว่าคุ้มตอนหลังผมขายพระชุดนี้ให้เพื่อนได้เงินมาหลายหมื่น ถ้าตอนนั้นขายให้เซียนไปคงได้ไม่เท่าไร ผมไม่รู้ว่า เดี่ยวนี้ ทางคุณ อุ๊ ยังให้บริการด้านนี้อยู่อีกไหมเพราะมันผ่านมาหลายๆปีแล้ว แต่ถ้ามีผมว่าช่วงนี้ก็เป็นโอกาสดีนะครับ
4.ไม่มีมิตรและศัตรูที่ถาวร
อันนี้เหมือนนักการเมืองน้ำเน่าปัจจุบันเป๊ะ....คนพวกนี้พอผลประโยชน์ร่วมกันก็กินเที่ยวด้วยกัน แต่พอผลประโยชน์ขัดกันก็โจมตีกันเอง เรื่องนี้ทุกท่านน่าจะเคยเจอ ถ้าสนิทกับตู้ไหน จนพอไว้เนื้อเชื่อใจก็จะได้ฟังเรื่องเล่าเค้ามหากาพย์ ไม่รู้จบ โจมตีกันไปมา
5.องค์เดียวกัน 15 นาที เปลี่ยนเป็น รุ่นอื่น
เคยเดินเล่นในบางลำพูงามวงค์วาน(ชื่อเมื่อก่อน)เผอิญเดินผ่าน ตู้หนึ่ง (มีชื่อเสียงในสายเครื่องรางพอสมควร) เห็นมีคนเอากะลาแกะ รูปราหูมาปล่อย ผมปาดตามองเห็นพระเลี่ยมพลาสติกอยู่ โดยจับขอบชิ้นกลางเป็นสีเหลือง ก็มองไว้ แต่ดูไม่เป็นหรอกครับ ได้ยินเสียงเซียนต่อรองกับผู้นำมาปล่อยว่าราคามันแรงไป แค่ ล.พ.ปิ่น ยุคต้น..ตอนนั้นผมยืนหันหลังให้เขาเพราะแกล้งทำเป็นส่องพระจากแผงขาจรอยู่ ซึ่งวันนั้นมีตลาดนัด ก็ฟังไป จนเขาตกลงราคาซื้อขายกันแค่ 800 บาท ในใจตอนนั้นผมก็อยากได้พระราหูมาใช้เสริมดวงอยู่เหมือนกัน คิดว่า ซื้อต่อคงไม่แพงมากแต่จะเข้าไปซื้อตอนนั้นเลยก็น่าเกลียด เลยแกล้งเดินไปที่อื่น รอบๆนั้น อีก 15 นาที เดินกลับมา ผมมายืนหน้าตู้ แล้วถามว่า “พี่ครับ ราหู องค์นี้ ของ ที่ไหนครับ” “องค์นี้กะลาแกะ ล.พ.น้อย ครับ”เซียนท่านนั้นตอบเล่นมาผมตัวชาไปเลย แต่ก็ยังรวบรวมสติท่ามกลางความตกตะลึง ถามกลับออกไปว่า“เท่าไรครับ”“22,000 ครับ” ตอนนั้นแทบล้มทั้งยืนเลยครับ ผมจำพระได้ครับ เลี่ยมกรอบพลาสติคจับขอบชั้นกลางเป็นสีเหลืองและในตู้มีองค์เดียวที่เลี่ยมแบบนี้ ไฉนจาก ล.พ.ปิ่น ผ่านไปไม่ถึง15นาที มันเป็น ล.พ.น้อย ได้ไง(วะ)แล้วราคานี่...อ่ะ มันพุ่งทะลุเพดานห้างไปชนโลกพระจันทร์จนต้องหาช่างมาซ่อมหลังคาห้างขนาดนั้นเชียวหรือ 800 เป็น 22000.-โอว์......อาร์....อูว์........
6.เพื่อนช่วยเพื่อน น้อยกว่านี้ได้ไง (พระของเพื่อนข้า ใคร! อย่าแตะ)
เมื่อหลายปีก่อน เซียนสายตรงเป็นท่อท่านหนึ่ง(ความจริงโดน2ถ้าไม่มีใครมานั้งมากกว่านี้) มีนิวาศสถานอยู่บนห้างๆนึง โดนพระสาย ท้องถิ่นตัวเอง(ถ้าบอกว่าเป็นพระกรุไหน จะรู้กันทั้งห้างเลย) ซึ่งเป็นหระหลักจัดอยู่ในความนิยมอันดับต้นๆ คราวนั้นโดนของยอดฝีมือปาดจนคอแทบขาด กว่าจะรู้เพราะคนที่นำมาปล่อย เอามาบ่อยอีกครั้งเลยชักเอะใจ เพราะซื้อขายกันครั้งแรกก็หลักหลายล้านไปแล้ว พอมารู้ก็ไม่รู้ทำไง เพราะพระที่ซื้อมาก็ปล่อยให้ลูกค้าไปหลายองค์แล้ว คราวนี้ปัญหามันอยู่ที่งานประกวดนี่ซี...เมื่อมีการนำพระกรุนี้(ซึ่งสุดท้ายคือพระเก๊นำมาส่งประกวด)กรรมการที่รับพระสายนี้ ท่านหนึ่งรู้ว่าพระองค์นี้ ซื้อมาจากที่ไหน(ก็ข่าวดังขนาดนั้น)จึงถามท่านประธานผู้จัดว่าจะทำไง สิ่งที่ได้ยินคือ “อ้าย.....มันโดนมา ช่วยรับหน่อยแล้วกัน”5555 น้ำใจช่างเป็นเลิศประเสริฐศรีดีแท้ทีเดียวเชียวนะมรึง......(กรณีนี้มีหลายครั้ง หลายเหตุการณ์ครับ จนเป็นเรื่องธรรมดาของกรรมการรับพระไปแล้ว)
7.ขึ้นทำเนียบ จับตาย!!!
เรื่องนี้แยบยลนิดหน่อย เพราะเกิดจากกลุ่มเซียนกลุ่มหนึ่ง จริงๆก็มีหลายกลุ่มแหละ เมื่อมีชื่อเสียง ก็ต้องทำหนังสือพระ(ที่เป็นปกแข็งหรือปกอ่อนแบบเฉพาะกิจ ไม่ใช่นิตยสารรายปักษ์หรือรายเดือน)ขึ้นมา อันถือว่า ขึ้นทำเนียบเซียนใหญ่ เพราะมีหนังสือปกแข็งในนามของตัวเองขึ้นมา เช่น เฉพาะกิจ ล.พ......... เฉพาะกิจ พระกริ่ง...... อะไรทำนองนี้ คราวนี้ได้การครับ กลุ่มตัวเองบางคนเห็นแก่ผลประโยชน์ โดยไม่เห็นแก่ความเดือดร้อนของชาวบ้าน ก็นำพระเก๊ยัดเข้ามาผสมโลง อาร์......คราวนี้พระเก๊ก็แทบเป็นพระแท้ไปโดยปริยายเพราะได้ลงหนังสือมีหลักฐานอ้างอิง แถม จัดทำโดยเซียนพระชื่อดังด้วย คนได้ซื้อพระไปก็อดที่จะภูมิใจไม่ได้ที่พระที่ตัวเองซื้อมาได้ลงอยู่ในหนังสือ....แต่คนขายก็ยิ้มอยู่ในใจเช่นกัน 555
8.งานบุญไม่อาราธนาศีล
พวกนี้งานบุญที่ไหน จะเลี่ยงอาราธนาศีลในข้อ 4 เป็นส่วนใหญ่ ก็ไม่รู้เพราะอะไร (ท่านผู้อ่านไปคิดดูเอาเอง)เวลาไปร่วมงานบุญ พอพระสงฆ์ท่านท่องมาถึงข้อที่4นี้ พวกนี้จะเงียบกริบ ไม่ยอมรับศีล (ไม่เชื่อลองสังเกตดู)
9.พระที่เซียนซื้อบางครั้งก็ไม่แท้เสมอไป(รู้ว่าเขาหลอก แต่เต็มใจให้หลอก)
เพราะบางทีเซียนใหญ่ก็ซื้อพระเก๊ไป ทั้งๆที่รู้ว่าเก๊(ในราคาที่ไม่ถูกนะครับ) เพราะพระนั้นเป็นพระที่ทำออกมาดีเรียกว่า เล่นได้ อันนี้ไม่เรียกว่าโดนนะครับ แต่ต้องเรียกว่า เต็มใจมากกว่า ผมเคยถามทำไมถึงซื้อ แล้วได้คำตอบที่ดูดีว่า “เอาไว้ดู เป็นตัวอย่าง” แถมยังซื้อแพงซะด้วยยกตัวอย่าง เช่น พระกรุๆหนึ่งของแท้ซื้อขายกันองค์ละหลายแสน แต่พอเจอพระฝีมือที่มีคนนำมาจะยิง ก็ออกตัวล้อฟรีไว้ก่อนเลยครับ “ขอไปเล่นน่า เท่านี้ได้ไหม” บางทีงงครับราคาของเก๊ เซียนซื้อเป็นหมื่น(บางทีหลายหมื่นด้วยซ้ำ) เสี่ย เน๊กไท ทั้งหลายที่ชอบซื้อกับเซียนหย่ายก็พึงสังวรไว้บ้างนะครับ
10.เซียนก็อยู่รูได้เช่นกัน (เมื่อเซียนกลายเป็นผีและผีกลายเป็นสาง นี่คือสุดยอดแห่งเซียน)
เกือบ10ปีแล้วเห็นจะได้มั้ง เซียนริมน้ำชื่อดังท่านหนึ่ง มีฝีมือในการเล่นพระสายเกจิ ลึกๆ แต่ดวงดาวลิขิตให้มาต้องติดการพนัน เป็นหนี้ปั๊วบอลนับล้าน ต้องหนีหัวซุก หัวซุน จนเซียนท่านนี้กลายเป็นผี ต้องหลบๆซ่อนๆ แต่เขา เก่งทั้งในเรื่องพิมพ์พระ และเนื้อพระ ก็เลยเสกพระเกจิชุดนึงเป็นพระยอดฝีมือออกมา(ผมเคยเห็นทุกขั้นตอนในการพิมพ์พระและทำพระให้เก่า โดยเพื่อนที่คบกันมานานที่เป็นผีสนามพาเข้าไป) อาละวาดครั้งแรกในถิ่นของตัวเองเรียกว่า โดนกันระนาว เพราะชุดแรกให้เด็กหรือผู้หญิงถือไป(นัยว่า ถ้าเด็กหรือผู้หญิงถือไป เซียนใหญ่ น้อยทั้งหลายจะระวังตัวน้อยลงแต่ตอนนี้คงไม่แล้วมั้ง) ได้ผลชุดแรก ถล่มเซียนใหญ่น้อยจนยับ และทุกวันนี้จากผีกลายเป็นสาง ได้ส่งพระฝีมือ ออกมาเป็นระลอกๆ จนมีชื่อเสียงทางด้านนี้เป็นอย่างมากและเป็นที่ทราบกันว่า หากพระเก๊ยอดผีมือนี้ส่งไปยิงผู้ใด สางตนนี้มักจะ ทราบเรื่องราวเสมอ ว่ามาจากสายไหน (มีหลายกลุ่ม หลายสาย บางกลุ่มก็ผลิตของฝีมือออกมาตามใบสั่งของเซียนใหญ่ที่มีผู้นับหน้าถือตาด้วยซ้ำ อนิจจา.....)และนี่คือผีที่กลายเป็นสางที่เซียนกลัวที่สุดตนหนึ่งเลยทีเดียว
บทสรุป
ทั้งหมดที่ผมรวบรวมมานั้น เป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่ง เรื่องลึกกว่านี้ยังมีอีกเยอะถ้านำมาเล่า กลัวว่าสังคมพระส่วนใหญ่จะรับไม่ได้ แต่ก็น่าจะพอเป็นประโยชน์ในการวางตัว และคบหากับเซียนบ้างนะครับ แต่อย่างที่บอก เซียนดีๆก็มี แต่น้อยครับ จึงไม่มีตัวอย่างในทางที่ดีมาเล่าให้ฟังได้มากเท่าไร หากใครมีประสบการณ์ในด้านดีๆ ก็นำมาเล่าสู่กันฟังในเวปบ้างก็จะดี เซียนคนไหนที่อยู่ข่ายที่เล่ามาก็สมควรจะสำเหนียกปรับปรุงตนเองเสียใหม่ ให้วงการพระเครื่องเป็นที่พึ่งพาของผู้ที่เดือดร้อนได้อีกทางหนึ่ง โดยไม่ถูกริดรอนสิทธิ์และเอาเปรียบมากจนเกินไป ใจเขาใจเรา...ครับ
********************************************
นี่คือวงการพระเครื่องเมืองไทย ........... ก๊อปเขามาครับ..อ่านแล้วน่ากลัวจริงๆ
***************************************************************
เรื่องราวในยุทธจักรพระล้วนซับซ้อน ไม่ว่าจะพระที่มีชีวิตหรือพระเครื่องก็ชวนปวดหัวคือกัน มีหลายอย่างที่หมกกันไว้โดยลูบหน้าปะจมูกมานานแล้วเพราะเอื้อเฟื้อประโยชน์กันเป็นขบวนการใหญ่ คนดีๆก็พอมีแต่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกเพราะเกี่ยวพันกันหลายฝ่าย ไม่มีใครอยากเอาคอไปพาดเขียงที่มีหลายมีดโต้รอสับอยู่ คนที่ตะกายดาวเพื่อปีนขึ้นไปอยู่บนสำนักบู๊ตึ๊งได้แล้วนั้นย่อมมีศิษย์และลูกน้องกันแทบทุกคนและทำได้ทุกอย่างเพื่อรักษาผลประโยชน์พวกพ้อง ซึ่งผลประโยชน์ในวงการพระไม่ใช่แค่ร้อยล้านในแต่ละปี แต่หลายพันล้านและยังเกี่ยวพันโยงใยในวงวานว่านเครือกันไปจนไล่หางว่าวไม่สิ้นสุดแบบแบ่งทางกันถ้อยทีถ้อยอาศัย
.
บรรยากาศในห้างพระนั้นหากใครเคยไปเดินจะแทบขาขวิดและอึดอัดมาก เดินไปทางไหนจะมีเสียงถามตลอดว่า “มีอะไรมาปล่อยไหมพี่” หากเราเดินเฉยผ่านไปแต่ถือถุงหรืออะไรน่าสงสัย จะมีสัญญาณมือส่งไปถึงโต๊ะต่อๆไป บางคนจะปวดหัวอึดอัดกับพลังแปลกๆที่ลอยอบอวลในห้างพระ พลังอำนาจทั้งพระทั้งผีที่มีเต็มไปหมด เคยพาคนฝึกฝนทางจิตชาวทิเบตไปเที่ยวดูตลาดพระเมืองไทย เขาตกใจว่าพลังงานไม่ดีมีมากได้อย่างไรในหมู่ร้านพระเครื่องที่เราคนไทยเคารพบูชา
.
บล๊อคเหรียญไพรีพินาศ(ไม่บอกว่าวัดไหน)ที่ยังอยู่และผลิตทายาทออกมาแบบไม่ปิดอู่ทุกวันนี้ทำให้คนขยาดไปกว่าครึ่ง เหรียญไตรภาคีอันดับหนึ่งเมืองไทยหลวงพ่อจังหวัดภาคกลางแบบใบเสมา และเหรียญหลักไตรภาคีจังหวัดชายทะเลใกล้กรุงเทพรูปไข่ ชุดตกค้างโรงปั๊มเป็นกระป๋องที่ออกมาขายทีละเหรียญก็หลักล้าน ยังทำให้ลือกันไม่จบทุกวันนี้ พระหลวงปู่ทวดโลหะ(ไม่ได้ระบุวัด)ที่ตกค้างเป็นลังเพราะหล่อเกินเพื่อสำรองกันเสียที่กรุงเทพก็เป็นปัญหาซ่อนในมุมมืด สมเด็จหล่อเนื้อโลหะผสมของหลวงพ่อในจังหวัดสิงห์บุรีที่บล๊อคยังอยู่ในโรงงานก็ยังเป็นเสี้ยนตำใจทำให้ราคาไม่ขยับแม้จะเป็นพระเครื่องที่ดีมากๆ
.
พระกริ่งสายวัดสุทัศน์หลายรุ่นยังไปเจอแม่แบบ(ต้นแบบพระที่ไม่ใช่หุ่นเทียน)เก็บอยู่ที่โรงงานชื่อ พ. ทำให้วุ่นๆกันอยู่พักหนึ่งและราคาร่วงลงมามาก พระพุทโธน้อยเนื้อดิน(ไม่บอกว่าของวัดไหน) แน่ใจหรือว่าสร้างและเข้าพิธีพร้อมกันทั้งหมด มาตรฐานยุคเก่าจะดูหน้าของพระว่าหน้าพิมพ์ใดจะคู่กับหลังยันต์อะไรเป็นสำคัญ พระผงพรายกุมาร(ยังไม่ได้บอกว่าของวัดใด)ที่สลับความจริงไปเกือบหมดสิ้นแล้ว พระผงขาวๆของหลวงปู่ผู้มีบารมีมากล้นแห่งเมืองหลวงเก่าที่ปัญหามากมายเรื่องทันหรือไม่ทันเสกเพราะพิมพ์ใช่เนื้อถูกแต่ผิดธรรมชาติ และบล๊อคตัวจริงเสียงจริงจำนวนกว่าสิบชุดของพระเนื้อผงเนื้อดินจากวัดทางภาคกลางที่หลวงพ่อละสังขารแล้วแต่ยังไม่เน่าเปื่อยวัดหนึ่งก็ไปตกอยู่กับคนชื่อจีนๆ วงในรู้กันดีว่าบล๊อคชุดนั้นของจริงแท้แน่นอน ทุกวันนี้กดเองเสกเองและออกมาสู่วงการพระทุกอาทิตย์แบบอีกสิบปีก็ไม่หมดแต่ครั้งละไม่มากให้ตื่นตกใจ พิมพ์น่ะหรือ 99.9% เนื้อไม่ไกลความจริงแต่ธรรมชาติความเก่ายังต้องพัฒนาอีกไม่น้อย
.
เหรียญดังของเมืองระยองหลักแสนกว่าๆสองแบบก็ปล่อยมาแล้ว ของสกลนคร ชัยนาท เพชรบุรี ของพัทลุง เชียงใหม่และกทม.อีกนิดหน่อย(รู้เท่าที่คนโดนมาโวยวาย) เขาจะเน้นเหรียญช่วงปี 2510 เป็นต้นมาแบบปั๊มนูนสูงตัดด้วยเครื่อง เพราะสแกนถอดแบบได้ละเอียด อย่าไปคิดว่าทำได้ไม่เหมือนหรอก บางชิ้นส่วนของเครื่องจักรไฮเทคบางอย่างต้องใช้ความละเอียดมากกว่าปลอมพระเครื่องพวกเหรียญมากนัก เขาก็ยังทำได้เหมือนเต็มร้อย เรื่องขอบข้างรอยตัดนั้นไม่สามารถใช้ได้100%อีกต่อไปแต่ก็ยังใช้ประกอบการพิจารณาได้มากกว่าหน้าและหลังเหรียญ แม้แต่เหรียญจตุรพิธของหลวงพ่อกวยที่อาจารย์ชื่อดังโดนไปนับร้อยๆเหรียญนั้น รู้กันหรือไม่ว่าเมื่อคืนกันแล้วมีการผ่องถ่ายไปออกตัวที่ไหนพร้อมกับพี่น้องท้องเดียวกันที่คลอดมาพร้อมๆกันอีกนับพันชิ้น
.
เรื่องเหล่านี้เป็นน้ำจิ้มรสเผ็ดแค่สิบเปอร์เซ็นต์ในวงการพระ เอาแค่หอมปากหอมคอพอเป็นแนวทางระวังระไวก็แล้วกัน เว้นช่องว่างให้เขาทำมาหากินกันตามอัธยาศัย โดยเรื่องพวกนี้ไม่ได้ยกเมฆมาเล่าเอามันส์ หากใครมีเพื่อนพ้องวงในระดับเซียนเหยียบเมฆที่อยู่บนหอคอยงาช้างก็สอบถามกันดูเอาได้และจะตกใจกับเรื่องแรงกว่านี้อีกมากที่ขยิบตาเหยียบตีนกันไว้ บางอย่างเคยมีคนถ่ายภาพมาลงไว้ในหนังสือพระรุ่นเก่าๆเมื่อมีการท้าพิสูจน์และพูดแดกดันท้าทายกันมาแล้ว และคนที่แฉเรื่องเตือนใจแบบนี้ก็ถูกขับออกจากกลุ่มเพื่อนนักนิยมพระโดยหาว่านอกคอกคิดล้างครู ทั้งๆที่เขาเจตนาตีแผ่เรื่องไม่ดีเพื่อคนรุ่นหลัง เหล่าวัวสันหลังหวะก็ไล่ขวิดเขาโดยคนอื่นๆได้แต่มองเฉยเพราะขาเจ็บตาแตกด้วยกันแล้วแทบทุกคน คนที่ท้าทายว่าไม่มีจริงก็เงียบไปไม่พูดอะไรอีก ทำเป็นพูดว่ามันก็ได้แต่โจมตีเพราะอยากดังเท่านั้นแต่เมื่อเขาท้าล้างตาก็เงียบฉี่ แม้แต่ที่เอามาเล่าเตือนใจโดยระวังไม่ระบุให้ใครเสียหายแบบนี้เดี๋ยวก็มีก้อนหินโยนมาลองเชิงแน่นอน ไม่ในเวปนี้ก็ในเวปอื่นเพราะร้อนตัวหรือตำใจก็เหลือจะเดาถูก
.
นี่คือวงการพระเครื่องเมืองไทย แดนสนธยาที่แสนลึกลับและซับซ้อนทั้งเป็นวังวนที่วังเวงและจะไม่มีใครสามารถจัดระเบียบให้เรียบร้อยขาวสะอาดได้เลยตราบเท่าที่ยังใช้เงินเป็นตัวแลกเปลี่ยนเพื่อบูชาพระแท้ เมื่อใดที่พระเครื่องมีแค่แจกฟรีเท่านั้นจึงจะไม่มีคนทำปลอมดังเช่นยุคสมัยของสมเด็จโตวัดระฆัง ที่ท่านทำแจกฟรีไปเรื่อยๆโดยคนนับถือศรัทธาก็เพียงรอขอรับจากท่าน และเมื่อมีค่านิยมมากขึ้นจนต้องแลกเปลี่ยนด้วยเงินเพื่อครอบครองก็มีคนทำเลียนแบบคือยายขำ
.
บนห้างพระเครื่องแทบทุกที่นั้นอีกไม่นานก็ต้องปิดซ่อมบำรุงใหญ่เพราะทั้งพื้นและผนังโดยรอบมีแต่รอยเขี้ยวลงลึกไปทุกตารางนิ้ว คนธรรมดาๆเดินไปโดยไม่ระวังตัวก็อาจโดนปังตอเจ็บตัวได้ ความรอบรู้รอบคอบและระมัดระวังละเอียดลออ ไม่อยากได้ไม่อยากมี ไม่อยากดีไม่อยากเก็บคือเกราะป้องกันระดับหนึ่ง สิ่งที่ทุกวันนี้ยังขาดๆเกินๆคือเนื้อแท้และอายุเวลาตามธรรมชาติจริงๆที่ระดับปรมาจารย์ใช้เป็นข้อยุติในการพิจารณา เล่าเป็นเกร็ดความรู้เพื่อเตือนใจว่าเดี๋ยวนี้เขาทำได้แล้วทุกอย่าง อย่าคิดแบบเก่าๆอีกเลย คนที่ว่าแน่กว่าท่านก็โดนมาแล้วและโดนทีหนึ่งๆไม่ใช่หลักหมื่น เซียนด้วยกันเองเผลอเมื่อไรยังเลือดสาด เดี๋ยวนี้ไม่มีแล้วแบบคำที่ว่า “เสือไม่กินเนื้อเสือด้วยกัน” ผิดพลาดพลั้งเผลอเป็นโดน
************************************************
การเรียกตะปูออกจากตัว โดยคนเรียกออกเป็นผู้ทำใส่ไว้เอง----(บทความคัดลอกจากเว็ปๆ หนึ่ง)
เรื่องได้พบเห็นมาเมื่อเกือบ 30 ปีมาแล้ว เรื่องนี้เป็นเรื่องที่น่ากลัวมากๆ เหตุเพราะว่าการกระทำที่เป็นโทษนั้นเกิดขึ้นจริง แต่ผู้กระทำนำมาใช้เป็นหนทางหาประโยชน์เข้าตนเองแบบไม่กลัวบาปเลยแม้แต่น้อย โดยเรื่องนี้เกิดขึ้นในจังหวัดภาคกลาง ตัวเจ้าสำนักสำแดงตนว่าเป็นร่างทรงของเจ้าพ่อ 1 หรือ 2 ตน แล้วแต่ว่าจะเชิญตนใดจะมาลงร่าง (ซึ่งไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าเป็นการเข้าทรงจริงรึไม่?)
.
ในสำนักทรงนี้จะพบผู้ป่วย(จริง)เข้ามารับการรักษาเนื่องจากถูกคุณไสย เมื่อมีการเชิญทรงแล้ว เจ้าพ่อในร่างทรงก็จะทำการตรวจผู้ป่วยว่ามีสิ่งใดแปลกปลอมแอบแฝงอยู่ในร่างกายหรือไม่? ซึ่งเกือบร้อยทั้งร้อยของผู้ป่วยที่ถูกหามมา จะพบตะปูอยู่ในร่าง (หรืออาจเป็นลวดโลหะ ต่างๆ) เจ้าพ่อก็จะทำการใช้อำนาจของตนบริกรรมคาถางึมงัมพรวด แล้วกำหนดจุดที่จะให้ตะปูโผล่ออมาตามร่างกาย เช่น หัวไหล่ หน้าท้อง ฝ่ามือ เท้า เมื่อบริกรรมอยู่ ก็จะปรากฏเห็นด้วยตาได้ชัดเจนว่า ผิวหนังของผู้ป่วยมีรอยดุนนูนขึ้นมาเป็นจุดปลายแหลมเหมือนวัตถุที่มีความแหลมพยายามดันขึ้นมา
.
จากนั้นเจ้าพ่อก็จะใช้มีดกรีดลงบนผิวหนังตรงจุดนั้นเป็นแผลรูปกากบาท ก็จะเห็นปลายตะปูที่เป็นส่วนแหลมโผล่ทะลุออกมา จากนั้นจึงใช้คีมคีบให้แน่นเพื่อดึงตะปูออกมาจากตัวผู้ป่วย บางคนมีตะปูที่ถูกเรียกในลักษณะนี้หลายตัว บางคนก็น้อยกว่า ผู้ป่วยพอถูกดึงตะปูก็ร้องโอดโอยทุกครั้งด้วยความเจ็บปวด ที่น่าสังเกตคือ ผู้ป่วยมาจากสถานที่ต่างกัน คนละจังหวัด คนละภาค แต่ตะปูที่อยู่ในตัว มีลักษณะยาวเรียกได้ว่าเท่ากัน ขนาดความยาวเท่ากัน ความหนาเท่ากัน และมีรอยตัดหัวตะปูด้วยคีมชนิดเดียวกันเหมือนกันทั้งสิ้น ทำให้เชื่อได้ว่า ที่สำนักทรงนี้เองเป็นผู้ปล่อยใส่เอง แล้วรอผู้ป่วยมารับการรักษาเรียกออกได้จริง ทุกคนก็ต้องเสียค่าครูหรือค่าใช้จ่ายตามกำหนดของสำนัก บางคนโดนตะปูเรียกออกมานับสิบๆครั้ง มีน้ำหนักรวมถึง 4 ก.ก. เรื่องนี้เกิดขึ้นจริงและโด่งดังมาแล้ว
.
เรื่องนี้สอบถามครูบาอาจารย์ที่รู้จักนับถือซึ่งท่านได้อธิบายว่า เมื่ออยู่ในสำนักนั้นเขาเรียกตะปูออกมาจากร่างกายได้จริง (แน่นอนต้องเป็นดังนั้น เพราะเป็นผู้ปล่อยเข้าไปเอง) แต่เมื่อผู้ป่วยหรือเหยื่่อออกจากสำนักไป จะต้องออกทางประตูซึ่งเหนือประตูสำนักนั้นจะมีวัตถุ 2 ชิ้นลักษณะเป็นก้านยาวทำด้วยไม้วางไขว้กันเป็นรูปกากบาทมุมสูงแบบหน้าจั่ว ซึ่งอาจารย์ไม่ได้ไปด้วยเลยแต่บอกได้ถูกต้อง แสดงว่า วิชาแบบนี้มีการทำกันมานานแล้ว และผู้ที่เรียนไสยเวทย์จึงรับรู้รับทราบกันต่อๆมา ท่านอาจารย์ยังบอกด้วยว่า พวกที่เข้าไปในสำนักทรงนั้น ถ้าไม่มีครูบาอาจารย์หรือพระเครื่องหรือของคุ้มกันตัวกันแล้ว เมื่อเดินลอดประตูสำนักของเขาออกมาก็ไม่แคล้ว ต้องวนเวียนไปให้เขาถอนออกเช่นกัน เมื่อทราบดังนั้นก็ไม่มีใครคิดไปกันอีกเลย ต่อมาภายหลังทราบว่าสำนักนี้ได้ย้ายออกไปจากที่เดิมแต่ไม่ได้เลิก เพียงแต่มีฐานะดีขึ้นมากมาย และเข้าตั้งสำนักอยู่ในเมืองหลวงเกินกว่าสิบปีแล้ว
อีกเหตุผลหนึ่งที่เราควรจะมีวัตถุมงคลจากพ่อแม่ครูอาจารย์ติดตัวไว้เสมอ...
ไว้จะเล่าเรื่องจริงที่เกิดขึ้นกับน้องชายตอนบวชพระให้อ่านครับ ... ลมเพ ลมพัดหนังหมา....
.
การมีวัตถุมงคลติดตัวไม่ใช่เรื่องงมงาย เป็นเรื่องดีที่มีพระติดกายเป็นพุทธานุสติเสมอมิให้ทำชั่วกันง่ายจนเกินไป....
************************************************คนเช็คพระ พระเช็คคน เครดิต คุณสิทธิ์ Luangpudu.com
******************************************
ในสมัยที่หลวงปู่ดู่ยังมีชีวิต มีลูกศิษย์นักเช็คพระ (นักสัมผัสพลังในวัตถุมงคล) คนหนึ่ง นำวัตถุมงคลส่วนตัวมาเพื่อขอให้หลวงปู่อธิษฐานจิตให้ ซึ่งหลวงปู่ก็ได้เมตตาอธิษฐานให้ตามประสงค์
.
ผ่านไปไม่กี่วัน ภายหลังกลับจากงานเลี้ยง เขาก็นำวัตถุมงคลดังกล่าวมาพิจารณา (พูดตรงไปตรงมาก็คือนำมาจับพลัง) ปรากฏว่าปีติเกิดน้อยมาก จนเขาต้องเช็คซ้ำ ๆ หลายครั้ง ซึ่งได้ผลอย่างเดิม จนทำให้เขาประหลาดใจ เพราะจากประสบการณ์ส่วนตัว วัตถุมงคลของหลวงปู่เมื่อนำมากำแล้วจะต้องเกิดปีติถึงศีรษะทุกครั้งไป แต่ทำไมกับวัตถุมงคลชิ้นนี้จึงไม่แรงอย่างเคย
ต่อมาเขาจึงได้มากราบเรียนถามข้อข้องใจกับหลวงปู่ หลวงปู่จึงได้เตือนเขาว่า “วัตถุมงคลอันนี้ ข้าทำไว้เช็คจิตของแกเอง”
.
เขาต้องอึ้งไป เพราะไม่เคยเจอแบบนี้ พอกลับไปบ้าน เขาก็พยายามภาวนารักษาใจให้ดีต่อเนื่องกันหลายวัน จากนั้นจึงไปหยิบวัตถุมงคลชิ้นเดิมขึ้นมาเช็คอีก ทีนี้ปีติท่วมท้น จนทำให้เขาต้องกราบขอขมาเพราะความไม่รู้จึงได้นึกปรามาสบารมีพระ ซึ่งเหตุการณ์ครั้งนั้นถือว่าหลวงปู่ได้เมตตาให้บทเรียนที่มีค่ายิ่งแก่เขา ที่ทำให้เขามิอาจลำพองใจที่จะเที่ยวด่วนสรุปพุทธคุณที่มีอยู่ในองค์พระอีกต่อไป เพราะผลการเช็คนั้นขึ้นอยู่กับสภาพจิตของผู้เช็คเป็นสำคัญ จิตหยาบก็สัมผัสได้เพียงผิวเผิน จิตละเอียดก็สัมผัสได้ลึกซึ้งไปตามลำดับ จึงว่าบางครั้ง “พระท่านเช็คเรา มิใช่เราเช็คท่าน”
************************************************
เกร็ดประวัติอื่นๆ ของวัดโฆษิตาราม (ขอขอบคุณต้นฉบับด้วยครับ)
********************************************************************
ทางเข้าวัดโฆสิตาราม จะมีศาลอยู่สองศาล ศาลใหญ่เป็นศาลปู่เเค ปู่เเคนี้ตามประวัติเป็นคนดีมีวิชา ตั้งบ้านเรือนอยู่ตรงทางเข้าวัด หลังจากที่ปู่เเคตาย ชาวบ้านเลยเรียกหมู่บ้านนี้ว่า บ้านเเค ตามชื่อของปู่เเคนั่นเอง เเละชาวบ้านก็สร้างศาลขนาดใหญ่ให้ปู่เเค
********************************************************************
ทางเข้าวัดโฆสิตาราม จะมีศาลอยู่สองศาล ศาลใหญ่เป็นศาลปู่เเค ปู่เเคนี้ตามประวัติเป็นคนดีมีวิชา ตั้งบ้านเรือนอยู่ตรงทางเข้าวัด หลังจากที่ปู่เเคตาย ชาวบ้านเลยเรียกหมู่บ้านนี้ว่า บ้านเเค ตามชื่อของปู่เเคนั่นเอง เเละชาวบ้านก็สร้างศาลขนาดใหญ่ให้ปู่เเค
เล่ากันว่า ดวงวิญญาณปู่เเคมีความเคารพหลวงพ่อกวยมาก หากมีเภทภัยไม่ดี ปู่เเคจะมาบอกหลวงพ่อกวยทุกครั้งไป ที่ศาลนั้นมีคนไปบนบานกับปู่เเคมากทีเดียว
ส่วนอีกศาลเล็กๆอยู่ใกล้ กันนั้น คือ ศาลนายดอก ซึ่งความเป็นมาคือ เคยมีลิเกมาเล่นที่วัด คณะลิเกได้ถวายหุ่นรูปหัวคนอันนึงให้วัด หุ่นนี้รูปร่างหน้าตาคล้ายขุนช้าง
ต่อมาพระในวัด มีพระตั้ว(น่าจะเป็นอาจารย์ตั้ว) พระทวาย ม้วนหนู พระจง เพชรจั่น พระดอก เป็นต้น ได้นำหัวหุ่นที่ลิเกถวาย มาสวมหัวเเล้วหลอกกัน ปรากฎว่าพระที่วัดตกใจ พากันกลัว เพราะหุ่นนั้นดูน่ากลัว เหมือนมีวิญญาณมาสิง พอหลวงพ่อทราบ ท่านก็กล่าวตักเตือน เเละได้นำหัวหุ่นนั้นมาบรรจุผง ปิดด้วยดินปูน ลงอักขระเลขยันต์ เเล้วปลุกเสกปลุกธาตุให้เป็นตัว พร้อมตั้งชื่อว่า นายดอก
เหตุที่ชื่อนายดอก เพราะหลวงพ่อท่านชอบพระดอกที่เป็นคนขยัน ชอบกวาด ทำความสะอาดกุฎิ จากนั้นท่านให้คนนำหัวนายดอกไปไว้ที่ศาลเล็กๆข้างศาลปู่เเค ให้ดูเเลปากทางเข้าวัด สรุปนายดอกก็คือหุ่นพยนต์เฝ้าวัดนั่นเอง
สมัยก่อนโจรกับเครื่องรางพระเครื่องเป็นของคู่กัน ...
สมัยที่เสือขาวจะถูกยิงเป้านั้น (เสือขาวเป็นจอมโจรเจ้าของฉายาขุนโจรร้อยศพ มีประวัติมหาโหดมากฆ่าได้แม้กระทั่งเด็กแรกเกิด เสือขาวมีของดีที่อยู่กับตัวคือ "ลูกอมหลวงพ่อดิ่ง วัดบางวัว จังหวัดฉะเชิงเทรา") หลวงพ่อดิ่งได้เตือนเสือขาวว่า "มึงจะต้องตายโหงหากไม่เลิกเป็นโจร" เสือขาวตอนนั้นกำลังทะนงตัว เพราะไม่มีอาวุธใด ๆ ทำอันตรายเสือขาวได้เลย ปืนก็ยิงไม่ออก มีดก็แทงไม่เข้า ความเป็นอมตะของเสือขาวนี้เอง ทำให้เกิดความลำพองใจไม่ฟังคำเตือนของหลวงพ่อดิ่งซึ่งเป็นอาจารย์ของตัวเอง ตำรวจชุดไล่ล่าซึ่งประกอบด้วย ร.ต.อ.พจน์ รัตนดิลก จ่าบุญมี แก่นกระโทก จ่าดวง เดชชาติ ได้มาหาหลวงพ่อดิ่งที่วัดบางวัว แล้วถามว่าจริงหรือที่ว่าเสือขาวนั้นหนังเหนียว หลวงพ่อดิ่งบอกว่า "จริง ไอ้ขาวมันหนังเหนียว ยิงฟันไม่เข้าหรอก แต่มันจะแพ้ดวงของมันเอง อาตมาบอกไม่ได้หรอกว่าจะสังหารไอ้ขาวได้อย่างไร"
.
ตำรวจชุดไล่ล่าลาหลวงพ่อดิ่งกลับ ในขณะนั้นมีตาเถรคนหนึ่งซึ่งรู้จักกับจ่าบุญมีได้มาบอกว่า "ถ้าจะสังหารไอ้ขาว จะต้องใช้ลูกปืนที่หัวกระสุนทำด้วยใบมีดหมอ มีดหมอต้องเป็นของหลวงพ่อโศก วัดปากคลอง จังหวัดเพชรบุรี ซึ่งหลวงพ่อโศกเป็นพระสหายของหลวงพ่อดิ่ง วัดบางวัว วิชาอาคมของหลวงพ่อดิ่งที่ลงไว้ หลวงพ่อโศกท่านจะจารแก้ไว้บนใบมีดหมอของท่าน" สมัยก่อนนั้นมีดหมอของหลวงพ่อโศก วัดปากคลองยังพอที่จะหาได้ไม่เหมือนในเวลานี้ ซึ่งหามีดหมอของท่านไม่ได้อีกแล้ว ซึ่งหาได้ก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าจะเป็นของแท้หรือเปล่า เพราะของปลอมมีแยะเหลือเกิน ทำได้เหมือนของจริงจนแยกแยะไม่ออก เสือขาวได้ปะทะกับตำรวจชุดไล่ล่าอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนกับทุกครั้ง เพราะกระสุนเพียงนัดเดียวมันก็เกินพอที่จะทำให้เสือขาวถึงกับทรุดท้องทะลุ แม้ว่าจะไม่ตายแต่ก็คางเหลืองสิ้นลายของคำว่า "จอมโจรหนังเหนียว" นับตั้งแต่บัดนั้น เสือขาวถูกพิพากษาโทษให้ประหารชีวิต (ยิงเป้า) ซึ่งกระสุนที่เพชรฆาตใช้สังหารเสือขาว หัวกระสุนทั้งหมดที่ใช้ยิงทำจากใบมีดหมอของหลวงพ่อโศกทุกนัด
************************************************
วัตถุมงคลศักดิ์สิทธิ์ในยุคสงคราม
--------------------------------------------------------------------------
ถ้าพวกเราวันนี้ต้องอยู่ในภาวะสงคราม ภาวะแห่งภัยพิบัติ... จะมีใครไหมหนอที่ไม่มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ติดตัว
----------------------------------
ในสงครามเวียตนาม ผบ.ทหารเวียตนามเหนือได้ส่งใบปลิวนี้เพื่อเป็นคำเตือนต่อทหารเวียตนามเหนือ เองและฝ่ายพันธมิตรคือเวียตกงและเวียตมิน “ถ้าหากปะทะกับกองกำลังไม่ปรากฏฝ่ายให้พวกทหารพึงระลึกไว้ว่า
1.ถ้าปะทะกับศัตรูที่ยิงต่อสู้กับเราแล้วหยุดยิงเป็นระยะๆ และมีปืนใหญ่ยิงสนับสนุนมานั่นคือทหารอเมริกัน
2.ถ้าปะทะกับศัตรูที่ยิงต่อสู้กับเราแล้วหมอบหรือคลานต่ำนั่นคือทหารเวียตนามใต้
3.ถ้าปะทะกับศัตรูที่ยิงต่อสู้กับเราแล้วอยู่กับที่ไม่เคลื่อนไหวนั่นคือทหารลาว
4.ถ้า ปะทะกับศัตรูที่ยิงต่อสู้กับเราแล้วไม่มีปืนใหญ่หรือนกยักษ์(เครื่อง บิน)มาสนับสนุน ไม่รู้จักหยุดยิง ไม่รู้จักหมอบ ไม่รู้จักคลาน ไม่รู้จักถอย เอาแต่วิ่งเข้าใส่ บางรายยิงไม่ตาย บางรายยิงไม่เข้า จงระวังไว้นั่นคือ…**ทหารไทย**
--------------------------------------------------------------------------
ถ้าพวกเราวันนี้ต้องอยู่ในภาวะสงคราม ภาวะแห่งภัยพิบัติ... จะมีใครไหมหนอที่ไม่มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ติดตัว
----------------------------------
ในสงครามเวียตนาม ผบ.ทหารเวียตนามเหนือได้ส่งใบปลิวนี้เพื่อเป็นคำเตือนต่อทหารเวียตนามเหนือ เองและฝ่ายพันธมิตรคือเวียตกงและเวียตมิน “ถ้าหากปะทะกับกองกำลังไม่ปรากฏฝ่ายให้พวกทหารพึงระลึกไว้ว่า
1.ถ้าปะทะกับศัตรูที่ยิงต่อสู้กับเราแล้วหยุดยิงเป็นระยะๆ และมีปืนใหญ่ยิงสนับสนุนมานั่นคือทหารอเมริกัน
2.ถ้าปะทะกับศัตรูที่ยิงต่อสู้กับเราแล้วหมอบหรือคลานต่ำนั่นคือทหารเวียตนามใต้
3.ถ้าปะทะกับศัตรูที่ยิงต่อสู้กับเราแล้วอยู่กับที่ไม่เคลื่อนไหวนั่นคือทหารลาว
4.ถ้า ปะทะกับศัตรูที่ยิงต่อสู้กับเราแล้วไม่มีปืนใหญ่หรือนกยักษ์(เครื่อง บิน)มาสนับสนุน ไม่รู้จักหยุดยิง ไม่รู้จักหมอบ ไม่รู้จักคลาน ไม่รู้จักถอย เอาแต่วิ่งเข้าใส่ บางรายยิงไม่ตาย บางรายยิงไม่เข้า จงระวังไว้นั่นคือ…**ทหารไทย**
ณ ฐานที่มั่นทหารเสือพรานของไทยแห่งหนึ่งที่เวียตนามใต้(จำชื่อฐานไม่ได้) ทหารเวียตนามเหนือพยายามตีฐานนี้หลายสิบครั้งแต่ก็ไม่แตก จึงส่งกองพันกล้าตายที่ 21 ให้มาตีซึ่งเป็นกองพันเดียวของทหารเวียตนามเหนือที่ไม่เคยพ่ายแพ้ต่อกองกำลังใดๆทั้ง อเมริกันและเวีตนามใต้ และกองพันนี้ขึ้นชื่อที่สุดด้านความโหดร้ายและการทารุณเชลยจนเป็นที่กล่าวขานกันทั่ว
เช้าวันหนึ่งอากาศแจ่มใส ทหารเวียตานามเหนือกองพันกล้าตายที่ 21 จำนวน 600 นาย ได้เข้าตีฐานที่มั่นทหารไทยโดยทหารไทยมิได้ตั้งตัว ทหารไทยมีกำลังเพียง 150 นาย เห็นได้ชัดว่าถูกรุมแบบ 5 ต่อ 1 ปะทะกันนานกว่า 1 ชั่วโมงทหารเวียตนามเหนือแตกพ่ายไป ผลจากการสู้รบฝ่ายข้าศึกตาย 453 ศพและบาดเจ็บสาหัสจนไม่สามารถหนีได้ 16 นาย ฝ่ายเราตายเพียง 1 ศพและบาดเจ็บเล็กน้อย 5 นาย การปะทะครั้งนี้เป็นที่กล่าวขวัญไปทั่ว จน ผบ.ทหารเวียตนามใต้และทหารอเมริกันประกาศทางวิทยุสดุดีวีรกรรมของทหารไทยในครั้งนี้
1 อาทิตย์ต่อมาผู้บังคับกองพันกล้าตายที่ 21 ของเวียตนามยิงตัวตายในบังเกอร์เพื่อหนีความอับอาย ส่วนทางด้าน นายทหารเสือพรานไทยได้รับเหรียญกล้าหาญ 35 คน เราคนรุ่นหลังขอน้อมคารวะทหารกล้าไทยที่ปกปัก รักษาแผ่นดินไทยให้เราอยู่ทุกวันนี้เรื่องราวเหล่าแด่ท่านผู้ชนะเหล่าชนเสือ พรานไทยนักรบชุดดำ ทหารไทย ในยุคสงคราอินโดจีน ได้แสดงให้ทหารฝรั่งเห็นปาฏิหาริย์ ในหลายสมรภูมิ
ตัวอย่างหนึ่ง ผมขอคัดบทความจาก … อ.วารุณี พิทักษ์สินากร หนังสือพิมพ์ เสรีชัย L.A. USA มาเล่าสู่กันฟังนะครับ เรื่องอยู่ยง..คงกระพัน โดย อ.วารุณี พิทักษ์สินากร
เกี่ยวกับเรื่องเวทมนตร์..คาถา การปลุกเสก อยู่ยงคงกระพัน เครื่องลางของขลัง มีมานานพร้อมๆกับความเชื่อเก่าๆของผู้เฒ่าผู้แก่ สมัยนี้ยังมีอยู่มาก เรามาดูกันว่าเขาใช้วิธีใดที่ทำให้อำนาจพุทธคุณหรือเครื่องลางของขลังต่างๆ ทำงานได้ ใครที่ไม่เคยเชื่อเรื่องอย่างนี้ยอมรับได้แล้ว เพราะในอดีต จากเวทมนตร์คาถา เครื่องรางของขลังเคยกู้ชาติปกป้องบ้านเมืองมาแล้วจากสงครามอินโดจีนที่ กล่าวไปแล้ว ขอให้เปิดใจรับอย่างมงายเหมือนกบในกะลาครอบ การรู้ไว้บางทีอาจป้องกันตัวเองได้บ้าง พิธีปลุกเสกระดับเซียนจากสี่หลวงพ่อดัง ที่ทำให้ชนะศึกอินโดจีนนั้น เกิดอะไรขึ้นขณะทำพิธี…ฟังแล้วขนลุกไม่รู้ล้ม ทำให้เป็นที่กล่าวขานกันต่อมาอีกนาน ในสมัยสงครามเกาหลี ทหารไทยที่พกพระพิมพ์ของหลวงพ่อแฉ่งไม่ว่าปางใด พิมพ์เล็กหรือใหญ่ ต่างอยู่ยงคงกระพันรอดตายกันมาทุกคน รวมทั้งบรรดาอัศวินแหวนเพชร หรือพวกนายตำรวจในยุคนั้นต่างก็มีพระนางพญาของหลวงพ่อแฉ่งกันถ้วนทั่ว ยุคนั้นบรรดาอัศวินต่างมีชื่อเสียงมาก โจรผู้ร้าย ทั้งในเขตนครบาลหรือภูธรหัวหดเงียบกริบ กับถูกฆ่าตัดตอนเก็บกันระนาวจากบรรดาอัศวินแหวนเพชรทั้งหลาย เป็นยุคที่ตำรวจเฟื่องมากๆ พิธีปลุกเสกระดับชาติได้ทำกันที่วัดบวรนิเวศน์วิหาร โดยเริ่มพิธีตั้งแต่อาทิตย์เริ่มอัสดง จนถึงรุ่งอรุณของวันใหม่ เป็นพิธีที่ใหญ่โตมโหราฬยิ่งกว่าการปลุกเสกครั้งใดๆ ท่ามกลางเหล่าทหารหาญที่คอยป้องกันอยู่รอบนอก ไม่ให้ผู้ใดรบกวนสมาธิของเกจิอาจารย์ทั้งสี่ ภายในห้ามออกภายนอกห้ามเข้ากันทีเดียว ภายในตัววัดเมื่อพลบค่ำจึงมีแต่ความวิเวกวังเวงของบรรยากาศ ทำให้ทหารทุกคนทั้งรอบนอกรอบในวัดตื่นตัวกลัวกันตลอดคืน ก็ใครเล่าจะกล้าหลับตานอนได้ในบรรยากาศเช่นนั้น เหตุการณ์ปกติไปเรื่อยจนย่างเข้ารุ่งอรุณของวันใหม่ทุกคนที่อยู่ในพิธีต่าง สะดุ้งกันสุดตัวแล้วพยายามระงับความตื่นเต้น ประหลาดใจกับอะไรที่เกิดขึ้น กับเก็บสุ้มเสียงกันไว้อย่างมิดชิด มีรายการขนลุกขนพองเห่อชาขึ้นมาตามแขนขาไปจรดต้นคอกันถ้วนทั่วอย่างช่วยไม่ ได้ระงับไม่อยู่ ที่ท่ามกลางความเงียบสงัดปราศจากแม้เสียงแมลงกลางคืนที่เงียบมาตลอดคืนแล้ว จู่ๆเกิด มีเสียงกรี๊ดร้องอย่างโหยหวลทำลายความวังเวง มาจากทุกสารทิศที่..ไม่ใช่เสียงเดียวเพศเดียวแต่หลายเสียง มันดังก้องเข้าไปในจิตวิญญานของผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ จากนั้นยังปรากฏร่างของวิญญาณ ที่มาทั้งในรูปผู้คน เงา มากมายนับไม่ได้เป็นร้อยเป็นพันบ้างเดินบ้างวิ่งบ้าง มีมาไม่ขาดสาย..ในบริเวณวัดพร้อมทั้งเสียงกรีดร้องนั้นยังดังอยู่อย่างต่อเนื่อง กับปรากฏหมอกควันพวยพุ่งออกมารอบๆพระอุโบสถ ชวนให้พยานสายตาในที่นั้นหนาวเย็นวูบวาบไปถึงตับไตใส้พุงแม้จะเป็นเหล่าทหาร กล้าก็เถอะ เหตุการณ์ที่เกิดระหว่างการปลุกเสกนี้เป็นที่ประจักษ์แก่สายตาทุกคนที่อยู่ บริเวณนั้น ให้เป็นที่โจษขานกันมาหลายยุคหลายสมัย คงไม่มีครั้งใดจะแรงและทรงพลานุภาพเท่าจวบจนยุคปัจุจบัน ไร้เทียมทานจริงๆ การปลุกเสกใช้เวลา 12 ชั่วโมง โดยพระทั้งสี่รูปจะนั่งนิ่งอยู่ในท่าเดิมไม่ขยับเขยื้อนเป็นการรวมพลังจิต ให้มีอนุภาพที่แก่กล้าแล้วรวมเพ่งไปที่ผ้าประเจียดที่วางอยู่บนพานทอง เพื่อให้ได้ผลเต็มร้อย หลังเสร็จพิธีหลวงพ่อทั้งสี่ จึงมอบผ้าประเจียดให้กับพลตรี หลวงเกรียงศักดิ์พิชิต เพื่อนำไปใช้ปกป้องทหารในสงครามต่อไป ก่อนนำออกแจกจ่าย ยังมีการทดลอง ความอยู่ยงคงกระพัน โดยการนำผ้าประเจียดไปลองยิงดู ซึ่งถ้าไม่ได้ผลหลวงพ่อทั้งสี่องค์ ท่านจะทำพิธีให้ใหม่ แต่ปรากฏว่างานแรกครั้งเดียวขลังทันใด..ใช้ได้ทันที
เครื่องลางของขลังจากการปลุกเสก ทำให้ทหารไทยชนะสงครามอินโดจีนกับถูกตราหน้าว่าเป็นทหารผี…อันนี้พิสูจน์ กันชัดๆ อีกอย่างของคลื่นพลังจิตที่รวมกันเข้าจากเกจิอาจารย์ทั้งสี่ การผสมธาตุซึ่งจะประกอบเป็นเครื่องลางของขลังนั้น ต้องผสมให้ถูกต้องจึงจะใช้เป็นสื่อเพื่อบรรจุพลังปราณ(พลังจิต)ของผู้ปลุก เสกได้เต็มที่ หากธาตุผสมผิดส่วนพลังปราณจะลดหย่อนลง พลังนี้ท่านเปรียบเหมือนพลังแม่เหล็กไฟฟ้าซึ่งมีอยู่แล้วในทุกตัวคน เราขอแนะนำให้ตรวจหาพลังนี้ได้เองจากการทำสมาธิ เมื่อเข้าถึงขั้นหนึ่งแล้วจะมีความรู้สึกว่ามีพลังบางอย่างวิ่งไปตามหน้า ขา ไหล่ แขน บางที่มาในรูปของความร้อนวิ่งไปทั่วร่าง ทางฮินดูเรียกว่า พลัง “คุณดาลินี” หรือพลังปราณนั่นเอง หลักการใช้คลื่นหรือพลังจิตนี้ ผู้ที่จะทำเครื่องลางของขลังได้ต้องฝึกจิตจนถึงองค์ญาณสมาบัติเสียก่อน จิตจึงจะมีพลังงานแล้วสามารถรวบรวมพลังนี้บรรจุลงในสิ่งใดได้ พลังที่บรรจุนี้จะต้องแบ่งสายปราณให้ถูกต้องด้วยการใช้วิชาลึกลับอันเป็นต้น
โดยเฉพาะเป็นแหล่งกำเหนิดให้เกิดพลังขึ้นได้อย่างหนึ่งเช่น ของขลังที่จะใช้เกี่ยวกับการป้องกันอันตรายใช้วิชา “เรยูกูระบัด”ประกอบกับวิชา “อิลละมู” หรือใช้วิชา “สังกะลัม” ประกอบกันสองอัน หรือจะใช้เพียงวิชาอิลละมู ประกอบเวทมนตร์ก็ได้ (ชื่อวิชาเหล่านี้เป็นของพวกโยคีสมัยเก่า) แต่ถ้าใครเรียนถึงวิชา เรยูกูระบัด หรือสังกะลัม เครื่องรางของขลังจะให้พลังงานสูง ในสมัยสงครามอินโดจีน ในช่วงที่กำลังร้อนระอุ ทหารไทยถูกประนามว่า เป็นทหารผี…เพราะเหตุใดเรามาดูกัน กับใครอยู่เบื้องหลัง
บทต่อจากนี้ ที่เกี่ยวข้องกันอย่างช่วยไม่ได้ คืออยู่ยง…คงกระพัน ตอนนั้นทหารไทยมีหน้าที่ต้องบุกเข้ายึดเมืองศรีโสภณให้ได้ แต่ไม่ใช่ของง่ายเลยเพราะฝ่ายตรงข้าม คือทหารญวนกับทหารมอร็อคโคมีมากกว่า อุปกรณ์การฆ่าทันสมัยกว่าแน่นอนกำลังใจย่อมดีกว่า รวมถึงความจัดเจนในการเชือดการปาดคล่องตัวกว่าเรียกว่าเขี้ยวลากดินกันทุกคน เพราะเหตุนี้ ท.ทหารไทยจึงมองหาทางออก มองหาสิ่งที่อยู่เหนือธรรมชาติ คือความเหนียวแบบไร้เทียมทาน…หรืออยู่ยงคงกระพัน ดังนั้นวันบุกเข้าจู่โจมจึงเกิดเหตุการณ์ประหลาดขึ้น คือ เมื่อวันที่ทหารไทยบุกเข้าศรีโสภนนั้น ทหารญวนกับมอร็อคโคต่างสาดกระสุนมาดุจห่าฝน แต่หาได้ระคายเคืองผิวทหารไทยอย่างไรไม่ ไม่ว่าจะยิง จะแทงฟันเชือด ปาด เด็ด ดึง..ทหารไทยอย่างไรก็ไม่มีผู้ใดเลือดตกออกมาสักหยด ทหารต่างชาติเหล่านั้นไม่เคยเชื่อหรือรับรู้ในเรื่องวิชาอาคมเวทมนตร์คาถา ตอนนั้นรู้อย่างเดียวว่า ทหารไทยฆ่าไม่ตาย กับที่เหลือตัวใครตัวมัน หมดกำลังใจที่จะต่อสู้ยึดพื้นที่เอาไว้ได้ เพราะถูกฆ่าอยู่ฝ่ายเดียว เห็นไพร่พลล้มตายเกลื่อน จึงพากันทิ้งเมืองเอาตัวรอด งานนี้ทหารญวนกับมอร็อคโคถูกจับได้อย่างมากมายพร้อมทั้งอาวุธปืนเป็นจำนวน มาก ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นจากอนุภาพ ของผ้าประเจียด ที่สี่หลวงพ่อทำการปลุกให้ไปแจกทหารที่ออกรบ ข่าวการชนะศึก ของทหารไทย ข่าวการยิงไม่เข้าแทงไม่เข้าไม่ระคายเคืองผิว กับการอยู่ยงคงกระพันของเหล่าทหารกล้า ทำให้สี่เซียนดังไปเจ็ดย่านน้ำ หลวงพ่อทั้งสี่ได้แก่ หลวงพ่อโอภาสี หลวงพ่อแฉ่ง แห่งวัดบางพังจ หลวงพ่อจาด และหลวงพ่อจง แห่งวัดหน้าต่างนอก
credit: thaifighterclub, jokergameth ขอเชิดชูเหล่าทหารหาร ที่เสียสละเพื่อผืนแผ่นดินไทย ที่ทำให้เราได้มีที่อยู่จนถึงทุกวันนี้
ผมมีเหรียญของท่านเพียงองค์เดียวครับ
แต่ก็เพียงพอแล้วครับ.... สาธุ
*****************************************
*****************************************
อันศักดิ์ศรีของหลวงปู่บุดดานั้น แม้จะดูธรรมดาในสายตาชาวโลก แต่สายของเหล่ากองทัพธรรมนั้นสูงสุดจะบรรยาย
ครั้งหนึ่งท่านได้เดินทางไปสนทนาธรรมกับ หลวงปู่ดู่ วัดสะแก หลวงปู่บุดดา ได้เทแป้งเสกลงในมือหลวงปู่ดู่ และ ทันทีทันใดเหมือนกัน หลวงปู่ดู่รีบเทแป้งเหล่านั้นลงบนศรีษะท่านจนขาวโพลนไปหมด ท่ามกลางความ ตกตะลึง ของเหล่าลูกศิษย์ท่านมากๆ เพราะปกติหลวงปู่ดู่ท่านมีกิริยาที่เรียบร้อยเอามากๆ จนเมื่อหลวงปู่บุดดากลับไป ลูกศิษย์ท่านหนึ่ง ถามหลวงปู่ทันที
ครั้งหนึ่งท่านได้เดินทางไปสนทนาธรรมกับ หลวงปู่ดู่ วัดสะแก หลวงปู่บุดดา ได้เทแป้งเสกลงในมือหลวงปู่ดู่ และ ทันทีทันใดเหมือนกัน หลวงปู่ดู่รีบเทแป้งเหล่านั้นลงบนศรีษะท่านจนขาวโพลนไปหมด ท่ามกลางความ ตกตะลึง ของเหล่าลูกศิษย์ท่านมากๆ เพราะปกติหลวงปู่ดู่ท่านมีกิริยาที่เรียบร้อยเอามากๆ จนเมื่อหลวงปู่บุดดากลับไป ลูกศิษย์ท่านหนึ่ง ถามหลวงปู่ทันที
"หลวงปู่ทำไมเทแป้งอย่างนั้นล่ะครับ" ท่านตอบทันที
"ก็ผงพระอรหันต์ ท่านให้ จะให้เอาไว้ตรงไหนนอกจากบนศีรษะของเรา ไม่งั้นจะเป็นการไม่เคารพ"
และที่สำคัญในพิธีเปิดโลกที่แสนสะโด่งดังนั้น หลวงปู่ดู่ท่านยังเชิญบารมีขององค์หลวงปุ่บุดดามาร่วมเสกด้วย (ทางญาณนะครับ)
แม้แต่องค์ หลวงปู่ชา วัดหนองป่าพง พระเถระที่ปกติไม่สรรเสริฐพระองค์ไหนง่ายๆ ในวันหนึ่ง เมื่อท่านทราบว่าหลวงปุ่บุดดา นั่งอยุ่บนรถบัส ท่านถึงพูดกับลูกศิษย์ว่า
"ไม่ให้ท่านลงมานะ เราจะขึ้นไปกราบหลวงปุ่บุดดาบนรถเอง"
แล้วท่านก็ขึ้นไปทั้ง กราบ ทั้ง ไหว้ อย่างเคารพและเรียบร้อยที่สุด
หลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง ท่านเคยบอกให้ลูกศิษย์ไปกราบ หลวงปู่บุดดา ตั้งแต่ที่ท่านยังอยุ่ที่วัดอาวุธ ฝั่งธน กทม. โดยให้เหตุผลว่า
"รีบไปกราบท่านนะ หลวงปู่องค์นี้ ท่านเป็นพระทองคำ ท่านจะไม่มาเกิดอีกแล้วนะ"
และยกย่องหลวงปุ่บุดดาอีกหลายครั้ง และหากท่านสงสัยในกัปกริยาที่ค่อนข้างจะแหวกแนว และ ล่อแหลมขององค์หลวงปู่ ที่มักทำอะไรที่คนทั่วไปมองว่าผิดปกติ ขอให้คิดเอาเสียใหม่ นี่คือ เนื้อนาบุญของแท้ ซึ่งแม้แต่ หลวงปู่สิม แห่งสำนักสงฆ์วัดถ้ำผาปล่อง ยังขอถวายสังฆทานและจีวร เป็นการเฉพาะ และบอกว่า
"หลวงปู่บุดดา ยอดเยี่ยมที่หนึ่ง แก่ทั้งอายุ แก่ทั้งพรรษา และแก่ทั้งมรรคผลนิพพาน"
หากท่านสงสัยในพุทธคุณที่หลวงปู่บรรจุไว้ในองค์พระแล้ว โปรดอ่าน...
ครั้งหนึ่งมีคนนำพระไปให้ท่านเสก ส่งไปแล้วท่านก้อส่งกลับ ทำอย่างนี้ถึง 3 ครั้ง โดยไม่แสดงอาการ เสก แต่อย่างใด ท่ามกลางความงุนงงของผุ้นั้นมาก จนหลวงพ่อองค์หนึ่งที่นั่งอยุ่ที่นั้นบอก
"พระองค์นี้ออกรบได้แล้วล่ะโยม"
"เต็ม" ตั้งแต่ที่ส่งมาให้แล้ว ........ตกใจไหม......
และเมื่อมีคนนำพระไปให้ ครูบาสร้อย วัดมงคงคีรีเขต จ.ตาก พระอาคมขลัง ที่ผู้อ่านศักดิ์สิทธิ์คงรุ้จักกันดี ช่วยเสกซ้ำอีกที ท่านได้ปฏิเสธและให้เหตุผลว่า
"เต็มแล้ว เสกไม่ได้แล้ว"
แม้แต่องค์ หลวงพ่อพุธ ยังปฏิเสธเหมือนกัน และบอก
"จะให้เสกทับไปได้อย่างไร หลวงปู่บุดดาก็เป็นครูบาอาจารย์องค์หนึ่งของเราเหมือนกัน" สุดยอดจริงๆ
ทุกวันนี้เราหาพระที่จะมาห้อยคอนั้น ง่ายเหลือเกิน แต่จะหาพระแท้ มาห้อยนั้น ยากครับ หากท่านเล่นพระ บูชาพระที่พุทธคุณ ไม่ใช่เล่นที่ค่านิยม อันเป็นเรื่องของทางโลกแล้ว พระเครื่องหลวงปู่บุดดา เป็นอีกองค์หนึ่งซึ่งผม ขอฝากไว้ในใจท่านทั้งหลายครับ
ที่วัดกลางชูศรีเจริญสุข จ.สิงห์บุรี ยังมีพระท่านตกค้างอยุ่เป็นจำนวนมากครับ ท่านใดสนใจก็ไปบูชากันได้ ซึ่งนอกจากจะได้พระ "แท้" แล้วท่านจะได้มีโอกาสกราบศพหลวงปู่ ที่ไม่เน่าเปื่อย ที่ประดิษฐานในโลงแก้วด้วยครับ และยังไมโอกาสได้รับแจก ผ้าจีวรที่ห่มคลุมศพหลวงปุ่ที่ทางวัดจะเปลี่ยนในทุกๆปี ด้วยครับ
และแฟนพันธ์แท้ศักดิ์สิทธิ์คงจำกันได้ถึง พระปิดตา 100 ปีหลวงปู่บุดดา ที่แจกพร้อมหนังสือ เมื่อหลายปีมาแล้ว ซึ่งผมขอบอกว่าเป็นของดีจิงๆครับ เพราะนอกจากทำจากแป้งเสกหลวงปุ่บุดดาแล้ว ยังเข้าพิธีที่วัดบวรในสมัยนั้นด้วยครับ
กราบขอบคุณที่ท่านกรุณาอ่านจนจบ ขอให้เจอพระ "แท้" โดยถ้วนหน้ากัน
************************************************
..ปัจจุบันสังคมพระเครื่องได้เปลี่ยนไปมาก เต็มไปด้วยผลประโยชน์มากมาย คิดแต่จ้องเอาเปรียบ ใช้เล่ห์เหลี่ยมชั้นเชิงทุกรูปแบบ เพื่อให้ได้จุดเป้าหมายอย่างไม่อายผู้คนในสังคมพระเครื่องไม่ต่างกับพวกโจร ปล้นชิงวิ่งราว...ยิ่งในโลกไซเบอร์ เว็บไซด์พระเครื่อง ผุดขึ้นมาดังดอกเห็ด...ในช่วง2-3 ปีที่ผ่านมานี้ การเช่าหาซื้อขายพระเครื่องผ่านเว็บไซด์มีจำนวนมาก.....เป็นตัวจุดประกายให้ กับวงการพระเครื่องคึกคักขยายวงกว้างก้าวข้ามไปสู่ ในเชิงพาณิชย์เต็มรูปแบบบนเว็บไซด์ (e-commerce) ซึ่งไม่ได้ด้อยกว่าธุรกิจอื่นๆเลย(ซื้อ-ขาย)กลุ่มเซียนพระรุ่นใหญ่ที่สนาม ท่าพระจันทร์หรือศูนย์พระเครื่องบนห้างฯ ก็ยังต้องโดดลงมาร่วมกิจกรรมการค้าบนโลกอินเตอร์เน็ต และก็กลายเป็นอีกช่องทางเลือกแหล่งทำมาหากินของกลุ่มมิจฉาชีพที่มากด้วย เล่ห์เหลี่ยมกลโกงทุกรูปแบบ หากจะพูดถึงวิธีการโกงมี 108 วิธี แถมยังไม่ผิดกฎหมายบ้านเมือง ไม่อาจจะมาตีแผ่ได้หมด.....
..กลุ่มมิจฉาชีพในวงการพระเครื่อง ไม่ได้ทำพระเก๊ในกลุ่มพระยอดนิยมเท่านั้น...เดี๋ยวนี้หันทำพระเก๊ในกลุ่มพระ ย่อยหลักร้อยเยอะมากๆ...ยกตัวอย่างเช่น พระเกจิที่พอมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักในวงการพระเครื่อง พระสายวังหน้า วังหลวง วัดพระแก้ว และมีการสร้างวัตถุมงคลหลายสิบรุ่น ก็จะเป็นกลุ่มเป้าหมายของ กลุ่มมิจฉาชีพเขาจะค้นหาข้อมูลให้ได้รายละเอียดมากที่สุดว่ามี "สร้างกี่รุ่น..ปีพศ.อะไรบ้าง" ข้อสำคัญ..พระเกจิที่เป็นเป้าหมายจะต้องไม่มีการจัดทำหนังสือทำเนียบรุ่น...
..จากนั้นก็จะทำการ เลือกพิมพ์แบบใดแบบหนึ่งอุปโลกน์ขึ้นมา สร้างคล้ายๆให้มีความแตกต่างกันไป แล้วระบุปีพศ.ไม่ให้ตรงกับปีที่มีสร้างอยู่แล้ว พร้อมทั้งทำตัวโค๊ดขึ้นมาเองเพื่อตอกโค๊ดให้ดูน่าเชื่อถือ และก็ทำกล่องใส่พระ พิมพ์หน้ากล่อง ชื่อวัด ชื่อพระเกจิ ชื่อรุ่น และวันปีพศ.ที่สร้าง บางรุ่นบางพิมพ์ทำเป็น.เนื้อนวโลหะ.เนื้อเงินให้ดูยิ่งน่าเชื่อถือมาก ขึ้น..…กลุ่มมิจฉาชีพเหล่านี้จะขายส่งอย่างเดียวไม่ขายปลีก ซึ่งเขาจะมีนายหน้าขาประจำมารับไปขายตามแผง(ขายพระเก๊)ท่าพระจันทร์และศูนย์ พระเล็กๆอีกทอดหนึ่ง.....จะมีกลุ่มที่ขายพระเป็นอาชีพแฝงตัวอยู่ตามเว็บไซด์ พระเครื่อง กระดานบอร์ดโชว์พระ กระดานบอร์ดตอบปัญหาพระเครื่อง(สร้างเครดิตความน่าเชื่อถือ)กระดานประมูล ต่างๆ กลุ่ม นี้เป็นลูกค้าชั้นดีเรียกว่าขาประจำก็จะเข้าไปช็อปปิ้งทุกอาทิตย์..บางครั้ง ซื้อมาเยอะหน่อย ก็จะนำไปขายรายย่อยอีกทอดหนึ่ง....
..ขอเตือนเพื่อนนักสะสมมือใหม่ อย่าได้เช่าพระตามกระแสและแรงเชียร์โดยไม่มีข้อมูลมาก่อนเด็ดขาด ยิ่งเป็นพระสร้างพศ.ใหม่ก็ต้องยิ่งระมัดระวังตัวให้มากๆไว้.....โดยเฉพาะคน สร้างพระเครื่องที่คว่ำวอดต่อวงการมักจะแอบอ้างเรื่องบุญนำหน้า แท้จริงแล้วมีผลประโยชน์มหาศาล จะมีสักกี่รายที่ตั้งใจสร้างเพื่อการกุศลจริงๆ หากต้องการสะสมพระใหม่ด้วยข้อจำกัดเรื่องกำลังทรัพย์ไม่อาจจะหลีกเลี่ยงได้ เบื้องต้นให้สังเกตุ....จำนวนการสร้างต้องชัดเจนเป็นที่เปิดเผย....ปัจจัยได้มาหักค่าใช้จ่ายได้รับสุทธิทำบุญเท่าไรต้องเป็นที่เปิดเผยเช่น กัน....บล็อคแม่พิมพ์ต่างๆต้องทำลายให้เป็นที่เปิดเผย....ความเห็นส่วนตัว แล้วผมไม่ค่อยชอบนักที่มีการตอกโค๊ดเยอะๆแบบบ้าระห่ำเต็มพื้นที่เหรียญแล้ว มาแยกว่า บล็อคกรรมการจัดสร้าง บล็อคกรรมการออกทุนสร้าง บล็อคกรรมการวัดและกรรมการอื่นๆอีกมากมาย แนวลักษณะนี้ผมจะหลีกเลี่ยงทันทีครับ.....
..เมื่อยุคก่อน ปีพศ.2510 กว่าๆ การสร้างพระเครื่องยุคนั้น ถ้าเป็นเนื้อโลหะก็ต้องพึ่งพาโรงงานปั๊มเหรียญกัน ยุคนั้นพระเครื่องที่จัดสร้างโดยเฉพาะพระเกจิไม่ค่อยอยู่ในความนิยม เท่าไร...การเช่าหานั้นก็ต้องไปเช่าที่วัด ศูนย์พระเครื่องยังมีน้อยมาก...ขนาดรุ่นแรกๆสร้างมาเพื่อแจกให้ญาติยมร่วมทำ บุญ บางรายตั้งใจไปทำบุญจริงๆยังไม่สนใจจะรับพระที่แจกเลย ด้วยเหตุผลเหล่านี้ พระเก๊ พระเสริม พระไม่ผ่านการปลุกเสก จึงมีน้อย...โรงงานปั๊มพระก็ไม่ปั๊มเกินไว้หาลำไพ่พิเศษ ไม่เหมือนปัจจุบันซึ่งเต็มไปด้วยผลประโยชน์มากมาย เจตนาการสร้างพระเครื่องได้เปลี่ยนไปมาก กลุ่มลูกศิษย์บางกลุ่มที่ไกล้ชิดกับหลวงพ่อดังๆก็ยังเทาะเลาะกันเอง สาเหตุมาจาก ผลประโยขน์ไม่ลงตัวกันมีให้เห็นกันอยู่เรื่อยๆ...
..แม้แต่นิตยสารหนังสือเกี่ยวกับพระเครื่องที่จัดทำเป็นหนังสือทำเนียบรุ่นบาง เล่ม(สอดแทรก)บางรุ่นบางพิมพ์และจำนวนสร้าง(กูทำเอง) หนังสือวิชาการชี้จุดตำหนิพระแท้-เก๊ หนังสือซื้อขายพระเครื่อง และหนังสือพิมพ์บางคอลัมส์นิสต์ ที่ไม่มีจิตใต้สำนึกเห็นแก่ผลประโยชน์ (เงิน) ก็ยังสอดแทรก(พระเก๊)หลับหูหลับตาเขียนเชียร์อย่างต่อเนื่องเป็นอาทิตย์.... อุปโลกน์อ้างแหล่งข้อมูลที่มาที่ไปให้ดูน่าเชื่อถือ นักสะสมมือใหม่ก็จะเป็นเหยื่อคนแล้วคนเล่าไม่จบสิ้น...ผมจะไม่ลงในราย ละเอียดให้มากกว่านี้ ด้วยสาเหตุเหล่านี้เพื่อนๆนักสะสมมือใหม่ให้ใช้วิจารณญาณเอา ควรศึกษาหาข้อมูลในเชิงลึกให้ชัดเจนไว้เป็นแนวทางการสะสมพระเครื่องอย่างถูก ทาง ท่องจำให้ขึ้นใจไว้เลย"อย่าโลภ"เพื่อนๆนักสะสมมือใหม่ก็จะเจ็บตัวน้อยหน่อย ไม่มีใครไม่เคยโดนหลอกเช่าพระเก๊หรือพระที่ไม่อยู่ในมาตราฐานสากลหรอกครับ รายที่โดนน้อยหน่อยก็ถือว่ามีบุญวาสนาดี...
ขอเพิ่มเติมอีกนิด ที่ผมเป็นห่วงมากที่สุดคือการปั่นราคาพระเครื่องหรือสร้างราคาเทียมหลอก ทำได้ง่ายมากๆโดยเฉพาะในกระดานประมูลค่อนข้างจะอ่อนไหวและมีอิทธิพลต่อการ เปลี่ยนแปลงเคลื่อนไหวราคาเป็นช่องทางสายหลักที่จะสื่อถึงเพื่อนนักสะสมได้ อย่างทั่วถึงและรวดเร็วยิ่งนัก หากใส่ใจสักนิดสังเกตุผู้ไล่เคาะซื้อแล้วจับมาเชื่อมโยงกันไปมาก็จะพอคาดเดา ได้ว่าซื้อเทียมหรือซื้อจริง ซึ่งบางรายการราคาขึ้นไปแบบหาเหตุผลรองรับไม่ได้เลย และกลุ่มพวกนี้จะเคาะซื้อซ้ำๆแต่รายการที่ตั้งเป้าไว้
************************************************