เรื่องจากข้าพเจ้า




.............................................................................................


.............................................................................................
เมื่อเพื่อนในเฟซโพสเรื่องพระสงฆ์รูปหนึ่ง คว้า หยิบ นำพระเครื่อง มาจากส่วนต่าง ๆ ดูเป็นอภินิหารไปนั้น... ผมเห็นมาเยอะครับ พระสุปฏิปัณโณท่านไม่แสดงอภินิหารต่อหน้าชาวบ้าน ถึงแม้จะอ้างว่าเป็นงานบุญก็เถอะ โยมไม่เคยเห็นก็ตาโต ควักกระเป๋าไปเป็นหมื่น ๆ ต่อพระเครื่อง 1 องค์ (แถมพระเครื่องที่เอาออกมาเป็นพระเครื่องดัง ๆ ซะด้วย) ถ้าเป็นของแท้ ทดลองเอาไปขายตลาดพระดูสิครับ ถ้าขายได้ ผมว่า "ท่านก็แน่จริง" แต่เท่าที่เคยเห็นพระคว้ามาเทือกนี้ ก็เป็นพระสนามท่าพระจันทร์ทั้งนั้น เก๊ตาเปล่า
.
ถ้าเป็นผมนะ ผมจะให้ท่านคว้าพระมาให้ผมก่อน แล้วผมจะนำไปขาย ได้เงินมาเท่าไหร่จะคืนเงินถวายตามที่ขายได้ให้หมดเลย ถ้าแบบนี้ผมจะเล่นด้วย แต่ถ้าโยมต้องควักเงินเป็นหมื่น ๆ ให้ตรงหน้า แถมย้ำว่า "ห้ามนำไปขาย" ด้วย ไม่ต้องย้ำก็ได้ครับ เพราะยังไงก็ขายไม่ได้อยู่แล้ว ผมมั่นใจ
.
เล่นแบบนี้มันน่าสงสัย ถึงแม้ว่าจะไม่ได้บังคับซื้อก็ตาม เพราะโยมก็หน้ามืดไปแล้ว และผมก็เคยหน้ามืดและโดนแบบนี้มาก่อนแล้ว 5555
.
หวังดีก็จึงเตือนมา แต่ถ้ายังหน้ามืดอยู่ ก็จ่ายเงินซื้อพระอภินิหารไปเหอะ เงินของท่าน ไม่ใช่ของผม ..เอวัง
แบบนี้ถ้าเป็นต่างประเทศ เขาก็มองเป็นการเล่นกลครับ ดูสนุก ๆ ขำ ๆ กันครับ ซึ่งผมขอนำลิ้งค์การเล่นกลสุดเนียนมาให้ดู (ดูวินาที 47 เป็นต้นไป) กลแบบนี้ผมอยากเรียนครับ จะได้ไม่ต้องเสียเงินหาอาหารกิน ดีกว่าคว้าพระเครื่องเป็นไหน ๆ
https://l.facebook.com/l.php?u=https%3A%2F%2Fwww.youtube.com%2Fwatch%3Fv%3DujaMvPUBcvY%26fbclid%3DIwAR2CB7-0O29mSKDwpohmKYuc7PEoaRg-C4mO79ypVHYEMAbcdWfx8CsDZRE&h=AT1V__kYawG0QoT6ixF063zBZMkDBmEIdelgPj9vO10KiOq-aTkj-VbpoEtuJNd16a4fw2lWWIkwaHjhJZT4OjEkrUwUR0ZNSjK-eHG-00Gxt06EjncORSna-93I78hELpYI&__tn__=H-R&c[0]=AT1INahSB7Hs36Do9tUbqksJAw1JXwD_J_U7Z9gKInC0b8HMfbAicMGjRk_Kd5QIndouCFq-QuO-OrCF1vYe5L7qnH9OFaWOiq5QjCh8WV20mBYau23XtHYmcSL57VpZASGFbBRLm9r5yORGQvvQSM3SDPbtnoDduO8zjbfCjeeeSwPI
...................................................
อยากปฏิบัติธรรมโดยไม่มีครูบาอาจารย์จะได้ไหม ใช้อ่านหนังสือหรือดูคลิปในเน็ตก็ได้นี่นา ไม่เห็นจะยากตรงไหน
......................................................................
ขอเปรียบเทียบง่ายๆ นะ - ถ้าคุณว่ายน้ำไม่เป็น แล้วไปอ่านหนังสือหรือดูคลิปสอนว่ายน้ำ .. ผมเชื่อว่าด้วยสติปัญญาของคุณแล้ว คุณสามารถเข้าใจกรรมวิธีการว่ายน้ำทุกประการโดยไม่ต้องลงไปฝึกในน้ำเลยแม้แต่ครั้งเดียว
.
แล้ววันหนึ่ง.. คุณเกิดอุบัติเหตุต้องตกจากเรือลงกลางทะเลหรือกลางแม่น้ำใหญ่ ด้วยความเข้าใจจากหนังสือสอนว่ายน้ำหรือคลิปสอนว่ายน้ำที่ผ่านมา.. ผมมั่นใจเลยว่าคุณไม่สามารถเอามาใช้ในเวลานั้นได้ทันทีหรอก คงตระหนกตกใจตะกุยตะกายน้ำจนหมดแรงจมหายไป หรือถ้าเอาตัวรอดมาได้ก็คงจะทุลักทุเลแทบขาดใจ
.
แต่ถ้าการตกทะเลหรือแม่น้ำนั้น หากมีครูบาอาจารย์ได้ไปอยู่ใกล้ๆ ด้วย หรือท่านอยู่ในเหตุการณ์ด้วย ท่านก็ย่อมแนะนำหรือประคับประคองให้ท่านสามารถทำการว่ายน้ำให้ถูกวิธี มีประสิทธิภาพ และถึงฝั่งโดยปลอดภัย
.
ดังนั้น .. การปฏิบัติธรรมโดยแค่อ่าน ดูคลิป ทำความเข้าใจโดยใช้สติปัญญา แต่คุณไม่ยอมฝึกปฏิบัติภาวนาจริง และไม่มีครูบาอาจารย์กำกับหรือสอนแนะแนวทางให้ ก็เหมือนกันกับที่ผมอุปมาอุปมัยข้างต้นนั่นแหละ
.
ไม่มีนักกีฬาคนไหนชนะเลิศเหรียญทองโอลิมปิคด้วยการอ่านตำราอย่างเดียวโดยไม่ฝึกซ้อมจริง และปราศจากโค้ช

♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦
รุ่นพี่ในวงการเล่าให้ฟัง.. เป็นนิทานเรื่องหนึ่ง เล่าให้ฟังเป็นอุทธาหรณ์สำหรับคนชอบพระเครื่อง 
...................................
ที่เมืองหนึ่งในประเทศไทย ณ ภาคกลางตอนล่าง ปีไหนนั้นก็ไม่นานนัก ได้จัดงานประกวดพระโดยมีห้างค้าพระใหญ่เป็นโต้โผจัดงานด้วย ...
.
กรรมการตรวจพระคนหนึ่งชื่อคุณ D ได้ตรวจพระเข้าประกวดองค์หนึ่งแล้วบอกว่า "เก๊" .. เจ้าของพระก็เลยไปฟ้องผู้ใหญ่สุดของงานประกวดที่มีชื่อว่าคุณ P และคุณ P ก็ไปต่อว่าคุณ D จนมีเรื่องราวปากเสียงดังลั่นงานประกวด
.
เถียงกันไปมาจนในที่สุดคุณ P ก็โดดต่อยคุณ D ว่าไปสวดพระเขาเก๊ได้ยังไงก็พระนี้เขาซื้อจากตรูโว๊ย.. (พระคุณ P เอง) ราคา 2 ล้านบาท.. (ว๊าว..โอ้โฮ) ...
.
ยังยัง.. มีอีก.. พระส่งประกวดหลายรายการถูกตีว่าเก๊ จนเจ้าของพระต้องควักใบเซอร์เพราะซื้อจากร้านในห้างใหญ่ที่จัดประกวดพระคราวนี้แหละออกมาให้ดู .. กรรมการตรวจพระถึงกับอึ้งกิมกี่ ทำให้ผู้ส่งพระประกวดด่ากันขรมทั่วงานปีนั้น (น่าจะลืมเตี๊ยมกันมาก่อน)
.
แถมงานนี้มีล็อครางวัลเรียบร้อย พระได้รางวัลเป็นพระของร้านบนห้างใหญ่ทั้งหมด ส่วนพระคนอื่นก็ได้แค่ป้ายว่าเป็นพระแท้เท่านั้น.. งานนี้ผู้จัดงานก็รับประทานค่าตรวจพระอิ่มเอมกันไป
.
งานนี้จึงเป็นงานเผาตัวเองของห้างพระใหญ่ด้วยประการฉะนี้
.
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า "ถ้าดูพระไม่เป็นแล้ว ซื้อทองคำเก็บไว้ดีกว่า ฮิฮิ

♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦
ตามข่าวกิจกรรมปล่อยปลามาตลอด บางรายการก็ว่ากันเป็นหลัก "หลายตัน" บางรายก็นับหมื่นนับแสนตัว ก็ขอย้ำกันอีกครั้ง สำหรับกิจกรรมบุญยอดฮิต "ปล่อยปลา" สะเดาะเคราะห์ โดยเฉพาะปลาดุกที่แสบพอๆ กับปลาซัคเกอร์ ซึ่งเป็นตัวทำลายระบบนิเวศน์ทางอ้อมจนอาจทำให้สัตว์น้ำประจำถิ่นสูญพันธุ์ได้
.
ทำไมการปล่อย "ปลาดุก" ถึงเป็นการทำบุญได้บาป
.
ผศ.ดร.อภินันท์ สุวรรณรักษ์ คณะเทคโนโลยีการประมงและทรัพยากรทางน้ำ มหาวิทยาลัยแม่โจ้ให้ความรู้ว่า การปล่อยปลาลงแหล่งน้ำธรรมชาติเป็นการเพิ่มปัญหาให้กับระบบนิเวศน์ 100 เปอร์เซ็นต์ โดยเฉพาะปลาดุกบิ๊กอุย, ปลาดุกรัสเซียซึ่งเป็นปลาต่างถิ่น มีความอึด และมีความสามารถในการเอาตัวรอดสูง หากนำไปปล่อยลงแหล่งน้ำคราวละมากๆ ในครั้งเดียว ปลาเหล่านี้จะไปแย่งที่อยู่ แย่งที่กินของปลาประจำถิ่น มิหนำซ้ำอาจกินปลาไทยจนหมดเกลี้ยง
.
ส่วนความนิยมในการปล่อยปลาเล็กอย่างลูกปลาดุก หรือลูกปลาอื่นๆ ก็อาจได้บาปเช่นกัน เนื่องจากการปล่อยปลาเล็กนั้น นักวิชาการคนเดียวกันบอกว่า เกือบ 100 เปอร์เซ็นต์จะตายทั้งหมด เพราะยังช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ เมื่อถูกปล่อยลงแหล่งน้ำ ไม่ถูกน้ำซัดตายก็จะกลายเป็นอาหารปลาใหญ่ทั้งหมด
..................
ถ้าอยากจะปล่อยปลา ก็ควรหาพันธุ์ปลาประจำถิ่นนั้นๆ จะดีที่สุดครับ ได้บุญจริงและไม่ทำลายสายพันธุ์ธรรมชาติ
♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦
มีคนมากมายที่อยากจะเปลี่ยนแปลงโลกใบนี้…. แต่มีคนเพียงน้อยนิด ที่คิดเปลี่ยนแปลงตนเอง

ดังนั้นถ้า"ชีวิต"เราไม่ได้เกิดมาเป็น"ไม้บรรทัด"..ก็ไม่จำเป็นต้องเอาตัวเองไปวัดกับคนนั้นคนนี้ (เครดิต-พี่หนุ่มเมืองแกลง)
.
เรื่องการนับถือครูบาอาจารย์และการแขวนพระเครื่อง อาจจะไปทำให้ขัดตาขัดใจของคนที่มีอีโก้สูงบางกลุ่มที่เขาเชื่อว่าตัวเองเกิดและอยู่มาจนทุกวันนี้ได้ เพราะมันเป็นไปตามสิ่งที่ต้องเป็น มาจาก 1 สมอง 2 มือ 2 เท้าของตนเอง ... บางคนบอกว่าไม่จำเป็นต้องแขวนพระแต่ก็ทำงานได้ดี มีชีวิตที่เป็นสุข มีเงินใช้สบายมือ... ที่พูดมาก็ไม่ผิด.. เพราะพระเครื่องไม่ใช่เสาหลักของการดำเนินชีวิต แต่ก็ไม่ใช่เครื่องถ่วงความเจริญของชีวิต 
.
คนไทยเราผูกพันยึดมั่นในความเชื่อเรื่องพระเครื่องมายาวนาน หลายๆ ท่านแขวนพระเพื่อเตือนสติให้ทำความดี ไม่ไปพลั้งเผลอทำสิ่งไม่ดี ซึ่งถือว่าห้อยพระเป็น บางท่านก็จะห้อยเป็นเครื่องรางของขลัง ป้องกันอันตรายที่จะเกิดขึ้นกับตัว 
.
ลองนึกดูว่า นั่งกินข้าวในบ้านอยู่ดีๆก็มีลูกปืนหล่นใส่จนเสียชีวิต และเหตุการณ์ถูกลูกหลงเสียชีวิตอีกหลายๆครั้ง บางคนเป็นแนวของเนคกาทีฟของสังคม ต้องการสร้างมุมคิดใหม่ๆ ปากบอกว่าจะมีจริงหรือพระเครื่องที่ศักดิ์สิทธิ์อย่างที่พูดๆกัน แต่ก็แอบไปหาเช่าพระหรืออะไรที่ราคาเบาพอที่ตัวเองพอมีกำลังเช่าได้ พอเจอของราคาสูงๆหรือที่เช่าไม่ได้ ก็บอกว่าจะดีจริงหรือ เห็นมาก็ไม่น้อยแบบนี้ ซึ่งเป็นคนส่วนน้อยของสังคมปัจจุบันที่น่าเห็นใจในระบบความคิด แล้วทหารที่ไปรบชายแดนหรือลงไปทำงานภาคใต้ จะมีสักกี่คนที่เขาไม่มีเครื่องยึดเหนี่ยวใจหรือไม่แขวนพระ เขาคงโง่งมงายกันทั้งนั้นเลยหรือเปล่าหนอ?


♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦


♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦

คนห้อยพระเครื่อง ห้อยเพชรพญานาค ห้อยไม้กางเขน ห้อยพระคริสต์ ห้อยจี้นามพระอัลเลาะห์.. คนเหล่านั้นงมงายและด้อยปัญญาหรือ???.........................
มีคำอยู่ 2 คำในแทบทุกภาษาของประเทศที่เจริญแล้วในโลกนี้คือคำว่า "ศรัทธา" และ "ความเชื่อ" 
ผู้ที่มีวัตถุหรือสิ่งของแทนสัญญลักษณ์ในความศรัทธาและความเชื่อของตน เมื่อจะกระทำการสิ่งใดๆ แล้วก็จะช่วยสร้างความมั่นใจให้กับคนๆ นั้น เป็นการสร้างพลังใจ สร้างแรงผลักดัน และสร้างความเชื่อมั่นให้กับตนเองในสิ่งที่จะกระทำลงไปให้ถูกทำนองคลองธรรม
.
ขอเปรียบเทียบง่ายๆ... ถ้าใครสักคนที่กลัวความมืด กลัวสิ่งที่มองไม่เห็น หากจะต้องเดินผ่านป่าช้าฝังศพของวัด ถ้าเขาห้อยสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เขาศรัทธาและเชื่อถือไว้ เขาก็อาจจะเดินผ่านไปได้อย่างมั่นใจและไม่หวาดหวั่น / แต่ถ้ามีอีกบุคคลที่ไม่มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ติดตัวอะไรเลย แต่มีสติสัมปชัญญะที่กระจ่างแจ่มใสและสมบูรณ์พร้อม เขาก็สามารถเดินผ่านป่าช้านั้นไปได้อย่างมั่นใจและไม่หวาดหวั่นเช่นกัน
.
แล้วอย่างนั้น.. คนที่ห้อยวัตถุมงคลนั้นมีจิตอ่อนหรืองมงายไร้สติอย่างนั้นหรือ... ข้อนี้ไม่ควรนำมาพิจารณาตัดสิน .. ศรัทธาและความเชื่อเป็นเรื่องปัจเจกบุคคล ไม่ควรนำไปดูหมิ่นหรือเหยียดหยามกันเล่น ... ต่อให้คนที่เคยมีสติสัมปชัญญะที่กระจ่างแจ่มใส มั่นใจในตนเองสุดๆ แต่ถ้าต้องอยู่บนเครื่องบินที่กำลังจะตกและรู้ว่าจะต้องตายอย่างสยดสยองในไม่กี่วินาทีข้างหน้า ... ผมเชื่อมั่นเลยว่าเขาจะไม่มีทางหลับตาแล้วปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามวาระ เขาจะต้องตระหนกหวีดร้องสติแตกจนวาระสุดท้าย... แต่ในเหตุการณ์เดียวกันนั้น ผู้ที่มีวัตถุมงคลติดตัว จิตของเขาก็จะมีที่ยึดเหนี่ยว หากจะต้องละร่างสิ้นไปแม้จะตายแบบสยดสยอง จิตของเขาก็มีจุดหมายปลายทางไปในความเชื่อ ความศรัทธาในศาสนาแห่งตนและผลบุญกุศลที่ได้ทำไว้ก่อนหน้านั้น....
♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦
วัตถุมงคล... แบบที่ดีที่สุด
------------------------------------
ตอนสมัยเด็กๆ พ่อแขวนพระให้องค์เดียว ผมก็เที่ยวเล่นตามประสาเด็กยุคเก่าที่ไม่ได้นั่งเล่นเกมส์ในห้องแอร์ แต่ตะลุยไปทั่วตามประสาซุกซน เช่น บ้านอยู่ฝั่งธนบุรี แต่ก็นั่งรถเมล์ไปเก็บปลอก .22 ที่สนาม ร.ด. มาทำปืนก้านร่มใส่แก๊ปอัดเทียน (โดนพี่ทหารคุมสนามไล่ตะเพิดตลอด) บางวันก็ตำดินปืนทำไฟพะเนียงเล่นเอง.. แต่ก็ไม่เคยได้รับอันตรายอะไรไปมากกว่าหกล้มหัวเข่าถลอก
.
พอเติบใหญ่ ทำงานมีรายได้ เริ่มศึกษาเรื่องพระเครื่อง... ด้วยความด้อยปัญญาก็จะพยายามหาพระเครื่องที่ว่า "ดีที่สุด" ให้ได้
.
พอมาเจอความจริงในแวดวงพระเครื่อง... พระเครื่องที่ว่าดีที่สุด ก็คือพระเครื่องที่คนค้าพระเรื่องจะขายให้ได้ราคาแพงที่สุด ซึ่งในชีวิตผม ทำงานเป็นมนุษย์เงินเดือนเก็บเงินอย่างเดียว ไม่ต้องกินไม่ต้องใช้ ก็ยังไม่สามารถหาซื้อพระเครื่องที่ว่า "ดีที่สุด" ในวงการได้เลยแม้แต่องค์เดียว ก็เลยเลิกสนใจไปเพราะเกินเอื้อม
.
จนชีวิตผ่านมาได้พบเรื่องอจินไตยแบบแท้ๆ เข้าหลายครั้งหลายปี บวกกับได้ไปปฏิบัติธรรม และศึกษาคำสอนครูบาอาจารย์.. จึงมาเกิดปัญญาว่า....พระเครื่องที่ดีที่สุดในวงการฯ นั้น เป็นเพียงค่านิยมจอมปลอมที่มีวันเปลี่ยนแปลงได้เสมอ ขึ้นกับบุคคลบางจำพวกไม่กี่คน
.
ถึงเวลานี้.. ผมเลือกห้อยพระเครื่องที่ "ดีกับผมมากที่สุด" ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่พระเครื่องที่ "ดีที่สุด" ของวงการฯ ก็ตาม
.
แล้วเพื่อนๆ พบพระที่ดีที่สุดของตนแล้วหรือยัง เมื่อพบแล้วก็ขอให้บูชาท่านติดกายไว้ตลอด อย่าโลเลเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา จิตแน่วแน่มั่นคงนั่นแหละคือจุดเริ่มของสิ่งดีๆ ที่จะตามมา
♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦

มาวิเคราะห์กัน... ทำใจให้เป็นกลาง หาข้อเท็จจริง แล้วค่อยสะสม
(ขอบพระคุณเจ้าของภาพครับ)
----------------------------------------------------
เท่าที่ค้นคว้ามา.. การเคลือบเงินหรือปรอทหลังกระจกหรืออัญมณีเทียมนั้น ต้องมีเทคโนโลยีพอสมควรทีเดียว คือจะต้องฉาบเงินหรือปรอทลงบนผิวแก้ว แล้วเคลือบด้วยทองแดงซ้ำเพื่อป้องกันปรอทหรือเงินที่ผิวด้านหลังหลุดลอก
.
ถ้าเป็นพระสกุลวัง ประดับเพชรหรือพลอยแท้ก็ดีไป แต่ถ้าเป็นอัญมณีเทียม มีร่องรอยของการเคลือบปรอทหรือเงินแล้วเคลือบด้วยทองแดงซ้ำ... ท่านควรค้นคว้าต่อดูซิว่า พ.ศ. 2411 - 2453 (รัชสมัย ร.5) ยุคนั้นมีเทคนิคการทำอัญมณีเทียมเคลือบปรอทหรือเงินในไทยแล้วหรือยัง หรือว่ายุคคนั้นมีการนำเข้าจากต่างประเทศ เราก็ต้องหาหลักฐานชัดๆ ก่อนที่จะเสียเงินไปเสาะหามาสะสมกัน
.
ถ้าจะสะสมเพราะว่าต้องการพระแท้ๆ สกุลวัง ..คงเหนื่อยมากๆ ที่จะเจอ เพราะเจ้าของที่เป็นขุนน้ำขุนนางสมัยก่อนก็ต้องเก็บไว้ให้ลูกหลาน...หรือถ้าจะขายออกไปก็ต้องอยู่ในมือเศรษฐีกันล่ะ
.
ของแท้น่ะมี... แต่ของเทียมก็เยอะ ตลาดพระริมน้ำเจ้าพระยาก็ยังวางขายกันเยอะแยะ ราคาตั้งแต่หลักสิบ ยันหลักพัน เดินเข้าตรอกสนามพระ ตรงข้ามวัดมหาธาตุ... จะเอาสักกี่กระบุงโกยก็ได้
.
เงินเราน่ะแท้ แต่พระที่ได้มานี่สิ..แท้หรือเปล่า
♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦
เมื่อเซียนพระใหญ่ แพ้คดีขายพระปลอมเพราะไปเจอเทคนิคชื่อว่า...
เอกซ์เรย์ดิฟแฟรกชันและเอกซ์เรย์ฟลูออเรสเซนซ์ (XRD / XRF Techniques, X-ray)
----------------------------------------------------------
อ้างอิง
https://www.mtec.or.th/…/2014-09-…/14-uncategorised/28-x-ray
----------------------------------------------------------
เนื่องด้วยอุปกรณ์ตัวนี้ จะสามารถวิเคราะห์แยกแยะวัตถุธาตุโดยวิธีทางรังสี X ที่ไม่ทำลายเนื้อวัสดุ รู้องค์ประกอบของธาตุบนวัตถุนั้น
.
มีคดีความที่ศาลตัดสินให้เซียนพระต้องคืนเงินที่ขายพระสมเด็จปลอมราคาหลายล้านให้ผู้ซื้อ เนื่องจากผู้ซื้อนำพระเข้าตรวจสอบด้วยเครื่อง XRF แล้วพบว่ามีสารประกอบในเนื้อพระที่เพิ่งจะคิดค้นมาไม่เกิน 50 ปีที่ผ่านมา

พระสมเด็จสร้างมากว่า 140 ปี จะมีสารประกอบที่เพิ่งรู้จักกันไม่เกิน 50 ปีในเนื้อพระได้อย่างไร
ฝ่ายเซียนพระพยายามสู้คดีโดยอ้างว่า ตรวจด้วยกล้องและสายตาผู้เชี่ยวชาญแล้วว่าเป็นพระแท้ และเป็นวิธีที่ใช้กันมาตลอดในวงการ
ฝ่ายศาลไม่เห็นด้วย เพราะศาลผลวิเคราะห์ทางวิทยาศาสตร์นั้นแน่นอน พิสูจน์ได้ชัดเจน จึงทำให้ฝ่ายเซียนพระแพ้คดีและต้องคืนเงิน
มีคดีแบบนี้ที่ต้องคืนเงินเจ้าของพระหลายสิบองค์ทีเดียว... เป็นเงินหลายสิบล้านบาท
รู้ไว้ใช่ว่า เผื่อท่านใดได้เป็นเศรษฐีร้อยล้านขึ้นมาจะได้ไม่โดยพ่อค้าพระหลอกเอา
♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦
ผมไม่เห็นด้วยกับการที่จะโยนเหรียญลงในพระพุทธบาท ไม่ว่าแห่งใดก็ตาม การโยนเหรียญลงไป เหรียญจะไปกระแทกผิวพระพุทธบาททำให้เกิดการสึกกร่อนไปเรื่อยๆ
หากต้องการบูชาด้วยเงินของท่าน ก็สามารถยกเงินนั้นขึ้นจบเหนือศีรษะ อธิษฐานตามที่ท่านต้องการ แล้วก็หยอดตู้ของวัดก็ได้ น่าเป็นการถูกต้องมากกว่า...
ช่วยกันครับ ...

♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦
ในการหล่อพระพุทธรูปโลหะ...ช่างที่ดีก็มี... ช่างที่ไม่ดีก็มี... บอกมาให้ทราบพร้อมหลักฐานทางวิทยาศาสตร์แบบเถียงไม่ได้ ซึ่งต้องทำใจกันนะครับ


พระเนื้อโลหะขนาดใหญ่.. ปกติก็จะใช้ทองเหลือง...ทองเหลืองเป็นโลหะผสมจากโลหะหลักๆ 2 ชนิดคือ ทองแดงและสังกะสี ในตารางธาตุผมทำกรอบสี่เหลี่ยมไว้ Cu คือทองแดง และ Zn คือสังกะสี ซึ่งมีน้ำหนักอะตอม 29 และ 30 ตามลำดับ (จริงๆ แล้วคือจำนวนโปรตรอนในนิวเคลียส) .ทีนี้มาดูทองคำที่ผมวงกลมไว้คือ Au น้ำหนักอะตอมคือ 79 ดังนั้นทองคำ 1 ลบ.ซม. กับทองเหลือง 1 ลบ.ซม. ขนาดเท่าๆ กัน ทองคำจะหนักกว่า 2.68 เท่า .ต่อมา... มีงานหล่อพระด้วยทองเหลือง ก็จะมีผู้ใจบุญกุศล ใส่ทองคำของตนลงไปในเบ้าหลอมด้วย เมื่อเทลงในพิมพ์พระที่คว่ำเอายอดเกศลง ทองคำเหลวก็จะไหลแซงทองเหลืองเหลวลงไปก่อนเลย เพราะหนักกว่าใครเพื่อน .ระหว่างการแกะพิมพ์ออกมาแล้ว เจ้าภาพหรือทางวัดคงไม่ได้ไปยุ่งในเรื่องนี้หรอก ก็ปล่อยเป็นหน้าที่ของช่างไป .
ถ้าเป็นช่างที่ดี ก็จะไม่ไปยุ่งอะไรกับพิมพ์พระหรือยอดเกศขององค์พระ
.
ผู้ถวายทองคำนั้น ได้บุญเต็มที่แล้วครับ ผมขออนุโมทนา
ช่างที่ทำงานนี้ด้วยจิตบริสุทธิ์ เป็นอาชีพชั้นสูงในการสร้างพระ ผมขออนุโมทนา
.
ส่วนช่างที่ไม่ดีนั้น... ไม่ต้องแช่งอะไร ตัวใครตัวมันนะคร้าบ
ถ้าเป็นช่างที่ไม่ดี ก็จะทำพิมพ์พระให้ตรงปลายยอดเกศนั้นมีการต่อยื่นออกไปเพื่อที่จะให้ทองคำไปกองรวมอยู่ตรงนั้น แล้วก็ตัดออกไป พอจะเห็นภาพนะครับ
♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦
ภาพซ้าย... มีบางคนบอกว่าเป็นภาพสมเด็จโต
ลองพิจาณากันเองว่า ... ในภาพขวาเป็นพระคุณเจ้าองค์เดียวกันกับในภาพซ้ายหรือไม่ พิจารณาองค์ประกอบอื่นๆ ในภาพทั้งสองด้วยเช่นพระพุทธรูปว่าเป็นองค์เดียวกันหรือไม่
.
ถ้าท่านพิจารณาแล้วเห็นว่าเป็นพระคุณเจ้าองค์เดียวกัน ก็พิจารณาต่อไปว่า ภาพพระคุณเจ้าทางซ้ายมือจะเป็นภาพสมเด็จฯ โตหรือเปล่า เพราะภาพทางขวานั้น มีหลักฐานยืนยันว่าพระคุณเจ้าองค์นั้นไม่ใช่สมเด็จฯ โต
.
นิตยสาร "ศิลปวัฒนธรรม" ปีที่ 2 ฉบับที่ 7 เดือนพฤษภาคม พ.ศ.2524 หน้า 33 ปรากฏการตีพิมพ์ภาพใบนี้ พร้อมคำอธิบายจาก "นิวัติ กองเพียร" ว่า รูปนี้ไม่ใช่รัชกาลที่ 5 กับสมเด็จพระพุฒาจารย์ เหตุผลประกอบดังนี้
.
1.
รูปนี้ได้มาจากหนังสือฝรั่งชื่อ "SIAM"
2.
พัดรองที่วางพิงผนังอยู่นั้น เป็นพัดที่นิยมทำก่อนสมัยรัชกาลที่ 5 ต่อมาไม่มีความนิยมในการทำพัดรองอีกเลย
3.
ถ้ารูปนั้นเป็นสมเด็จพระพุฒาจารย์จริง ท่านต้องห่มดองและรัดประคดอก มิใช่อย่างที่เห็นในรูป แม้แต่พระรุ่นเก่าที่วัดระฆังโฆสิตาราม ที่เคยเห็นสมเด็จพระพุฒาจารย์ก็ยืนยันว่ามิใช่สมเด็จแน่
4.
เจ้านายหลายพระองค์ ที่เป็นพระธิดาหรือพระโอรสก็ยืนยันว่า มิใช่พระราชบิดาแน่นอน
ในหนังสือที่ระลึกงานสงกรานต์ชลบุรี ประจำปี พ.ศ.2507 ในเรื่อง "สมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต)" อันเขียนโดย อธึก สวัสดิมงคล ยืนยันได้เป็นอย่างดีว่า ภาพพระสงฆ์สอนหนังสือเป็นภาพที่เข้าใจผิดและคลาดเคลื่อน ดังในหน้า 11 ที่ให้ข้อมูลความเป็นมาของภาพใบนี้จากลายพระหัตถ์หม่อมเจ้าหญิงพูนพิศมัย ดิศกุล พระธิดาสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงตอบคำถามของ อธึก สวัสดิมงคล ว่า
.
"
สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) นั้นไม่ช้าจะเป็นอะไรๆ สักร้อยอย่างเป็นเรื่องหากินทั้งนั้น เดี๋ยวนี้ใครอยากรู้อะไร ก็นั่งวิปัสสนาเอาได้ ไม่ช้าคงต้องร้อนถึงทางการเข้าเล่นด้วยเป็นแน่ มีผู้เอาภาพพระแก่กับเด็กลูกศิษย์สอนหนังสือกัน ฉันจำได้ว่า "โรเบิร์ต เลนส์" ขอประทานให้เสด็จพ่อทรงช่วยทำโปสการ์ดเผยแพร่เมืองไทย และท่านได้ถ่ายรูปฉันแต่งลาวน่าน หญิงเหลือส่องกระจก พร้อมกับทำรูปนี้ด้วย แต่บัดนี้กลายเป็นรูปสมเด็จโตสอนหนังสือพระพุทธเจ้าหลวง แย่จริงๆ น่ากลัวพงศาวดารจะเลอะเทอะกันใหญ่เสียแล้ว"
 
♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦


หากท่านผู้อ่านลองค้นประวัติพระรอด (ค้นจาก Search engine ไหนก็ได้) จะมีข้อมูลตรงกันว่า ค้นพบครั้งแรกปี พ.ศ. 2435
.
ถ้าท่านไปเจอใครบอกขายพระรอดกรุวังต่างๆ ว่า...สร้างปี พ.ศ. 2411 หรือก่อนปี 2435 ก็ไม่น่าจะเป็นไปได้ เพราะผู้สร้างยุคนั้นจะไปเอาแบบพระมาจากไหน พิจารณาดีๆ กันครับ
-------------------------
ประวัติ พระรอด กรุวัดมหาวัน จ.ลำพูน 
------------------------- 
พระรอด เป็นนามที่ผู้สันทัดรุ่นก่อนเชื่อกันว่า เรียกตามนามพระฤาษีผู้สร้างคือ พระฤาษี “นารทะ” หรือพระฤาษี “นารอด” พระรอดคงเรียกตามนามพุทธรูป ศิลา องค์ที่ประดิษฐ์อยู่ในวิหาร วัดมหาวันที่ชาวบ้านเรียกว่า “แม่พระรอด” หรือ พระ “รอดหลวง” ในตำนานว่า คือ พระพุทธ สิขีปฏิมา ที่พระนามจามเทวี อันเชิญมาจากกรุงละโว้ พระนามนี้เรียกกันมาก่อนที่จะพบพระรอดพระพุทธรูปองค์นี้ ที่พื้นผนังมีกลุ่มโพธิ์ใบคล้ายรัศมี ปรากฏด้านข้างทั้งสองด้าน
พระรอด มีการขุดพบครั้งแรกราวต้นรัชกาลที่ 5 แต่ที่สืบทราบมาได้จากการบันทึกไว้ ของท่านอธิการทา เจ้าอาวาสวัดพระคงฤาษีในขณะนั้น และอาจารย์บุญธรรม วัดพระมหาธาตุหริภุญไชย ว่าในปี พ.ศ. 2435 พระเจดีย์วัดมหาวันได้ชำรุดและพังทลายลงบางส่วน ในสมัยเจ้าหลวงเหมพินทุไพจิตร ทางวัดได้มีการปฏิสังขรณ์องค์พระเจดีย์ขึ้นใหม่ ในครั้งนั้นได้พบพระรอดภายในกรุเจดีย์มากที่สุด พระรอดมีลักษณะของผนังใบโพธิ์คล้ายพระศิลา ในพระวิหารวัดมหาวัน ผู้พบพระรอด ในครั้งนั้นคงเรียกตามนามพระรอดหลวง แต่นั้นมาก็ได้นำพระรอดส่วนหนึ่งที่พบในครั้งนี้ นำเข้าบรรจุไว้ในองค์พระเจดีย์ตามเดิม อีกประมาณหนึ่งบาตร
♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦
อีกรายการหนึ่ง - พระพิมพ์ผงสุพรรณ แล้วมีการนำมาสร้างเป็นพระสกุลวังหน้า หรือวังหลวง ถ้าบอกว่าสร้างปี พ.ศ. 2411 ก็ไม่น่าจะเป็นไปได้อีก เพราะพระผงสุพรรณขุดพบปี 2456 ถ้าสร้างปี 2411 จะนำแบบพระมาจากไหน พิจารณากันเองนะครับ ถ้าอ้างว่าสร้างเพื่อฉลองครองราชย์ของล้นเกล้า ร.5 ครบ 42 ปี ก็ไม่น่าใช่อีก เพราะพระองค์ขึ้นครองราชย์ 2411 และเสด็จสวรรคตเมื่อ พ.ศ. 2453
แต่ถ้าบอกว่าสร้าง เพื่องานขึ้นครองราชย์ของ ร. 6 พอฟังได้ครับ แต่ก็ต้องหาหลักฐานการสร้างให้ชัดเจน
------------------
พระผงสุพรรณได้ปรากฏหลักฐานว่าขุดพบที่พระปรางค์องค์ใหญ่ของวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ เมื่อปี พ.ศ.2456 โดยท่านพระยาสุนทรบุรี เจ้าเมืองสุพรรณในขณะนั้นได้สั่งให้มีการเปิดกรุ อย่างเป็นทางการ เพราะปรากฏว่ามีคนร้ายลักลอบขุดพระปรางค์องค์ใหญ่ อยู่บ่อยครั้งซึ่งได้ พบพระบูชาและพระเครื่องมากมายหลายพิมพ์ แม้แต่พระทองคำก็มีไม่น้อย นอกจากนี้ยังพบแผ่นลานเงิน แผ่นลานทองซึ่งได้บันทึกจารหลักฐานไว้ทำให้ชนรุ่นหลังได้ทราบว่า ในปี พ.ศ.1890 สมเด็จพระบรมราชาธิบดีที่1 ทรงมีศรัทธาในพระบรมพุทธศาสนา ได้ทรงอัญเชิญพระมหาเถร- ปิยะทัสสีสารีบุตร ให้เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ พระฤาษีทิวาลัยเป็นประธาน ฝ่ายฤาษี ร่วมกันสร้าง พระพุทธปฏิมากร เพื่อเป็นการสืบศาสนา พระผงสุพรรณเป็นพระเครื่องสกุลสูงเปรียบได้ว่าเป็นพระชั้นกษัตริย์ ของเมืองสุพรรณบุรี พุทธลักษณะเป็นพระสี่เหลี่ยมทรงชะลูดจนดูเกือบจะเป็น สามเหลี่ยมตัดปลาย มีบางองค์ถูกถูกตัดปลายออกสองด้านจนกลายเป็นห้าเหลี่ยมก็มี องค์พระนั่ง ปางมารวิชัยประทับบนฐานชั้นเดียวพระพักตร์แตกต่างกันออกไปตามพิมพ์ ด้านหลังปรากฏลาย นิ้วมือแบบ" ตัดหวาย " ทุกองค์ เป็นศิลปะแบบอู่ทอง

♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦
มีผู้ใหญ่ท่านหนึ่งที่ผมชอบคุยกับท่านเรื่องวงการการพระเครื่องเล่าเรื่องการขายพระสมเด็จฯ รายการหนึ่งที่ฟังแล้ว ผมรู้สึก “หัวเราะก็ไม่ได้ ร้องไห้ก็ไม่ออก” ท่านยืนยันว่าเป็นเรื่องจริง เพราะท่านรู้จักคนทั้ง 4 ของเรื่องนี้ทุกคน
ผมขอเปลี่ยนเป็นชื่อสมมุติให้หมดเพื่อจะได้ไม่ต้องโดนฟ้องฐานหมิ่นประมาท
.
ลุง “A” – อายุร่วม 90 ปี อยู่ทันยุคหลวงปู่ภู และได้อยู่ในพิธีเปิดกรุวัดบางขุนพรหมในยุคนั้น
ผู้ใหญ่ “B” – รู้จักกับลุงA และสนิทกับเสธฯ C และพอรู้จักเซียนพระใหญ่หลายคน
เสธฯ “C” – ผู้ที่เซียนพระใหญ่ทั้งหลายให้ความยำเกรงอย่างยิ่ง เพราะเป็นคนจริง มีอำนาจบารมีจริง ไม่มีใครกล้าขายพระเก๊ให้เสธฯ และนายของเสธฯ
เซียนสมเด็จ “D” – ผู้เป็นเซียนใหญ่พระสมเด็จขนานแท้ดั้งเดิม ถ้ารายนี้ฟันธงว่าแท้ เซียนน้อยใหญ่ก็ต้องว่าแท้ด้วย แต่ถ้าฟันธงเป็นเก๊ เซียนน้อยใหญ่ก็จะต้องว่าเก๊ด้วย
-----------------------
เรื่องมีอยู่ว่า ลุงA มีพระสมเด็จเก่าแก่แท้ๆ ประจำตระกูลตั้งแต่รุ่นคุณพ่อของลุงอยู่ 2 องค์ และพระสมเด็จบางขุนพรหมอีก 6 องค์ ซึ่งมั่นใจว่าแท้ๆๆๆ เพราะลุงแกอยู่ในพิธีตอนเปิดกรุด้วย
มาถึงเวลานี้ ลุงA แกต้องการเงินสักก้อนเพื่อทำบ้านสวนและอยู่อย่างสงบที่ต่างจังหวัด จึงได้ปรึกษาผู้ใหญ่Bและเสธฯ C ว่าอยากจะขายพระทั้ง 8 องค์ ช่วยเป็นคนกลางให้ที แล้วจะแบ่งเปอร์เซ็นต์ให้ เพราะไปคนเดียวโดนฟันหัวแบะแน่
แล้วทั้ง 3 ท่าน คือลุงA ผู้ใหญ่B และเสธฯ C ก็พากันไปห้างซื้อขายพระใหญ่แห่งหนึ่งของประเทศไทย ตรงรี่ไปหาเซียนสมเด็จDทันที ไม่ไปหาผู้อื่นเพราะถ้าเซียนDฟันธงว่าแท้ ก็ไม่ต้องไปหาเซียนไหนอีกแล้ว
และแล้วเซียนDก็ส่องพระทั้ง 8 องค์ โดยมีลุงA ผู้ใหญ่Bและเสธฯ C อยู่ด้วย และมีเซียนน้อยใหญ่มากลุ้มรุมกันพอสมควร
พอส่องครบ 8 องค์ เซียนDก็บอกให้คนอื่นๆ ออกจากห้องไปให้หมด เหลือแต่ลุงA ผู้ใหญ่B และเสธฯ C แล้วก็บอกความจริงอันน่าตระหนกออกมา

เซียนDพูด – บอกตรงๆ เลยครับ พระของคุณลุงแท้ทุกองค์ โดยเฉพาะพระสมเด็จวัดระฆังก็เป็นเนื้อและพิมพ์เดียวกับที่ผมห้อยเดี่ยวอยู่เลย (ว่าแล้วก็ควักสร้อยพระออกมาให้ทุกคนดู) แต่ผมไม่สามารถซื้อพระของลุงได้ ไม่ใช่เงินไม่พอ แต่พระสมเด็จทั้งหมดของลุง ปัจจุบันวงการเค้าไม่ได้เล่นเนื้อนี้กันแล้ว มีเนื้ออื่นในตลาดขายออกไปนับร้อยๆ องค์แล้ว หากรับพระลุงมาขายต่อ เกิดปัญหาแน่ครับ เพราะพระเนื้ออื่นๆ ที่ออกไปนับร้อยๆ องค์นั้น เนื้อจะไม่เหมือนของลุงเลย ถ้าผมรับซื้อแล้วขายออกไป คนที่ซื้อเนื้ออื่นรู้เห็นเข้า ก็จะต้องมีการคืนพระกันให้วุ่นวาย (เหตุที่เซียนDสารภาพตรงๆ ก็เพราะว่าเกรงบารมีเสธฯ C เป็นอย่างยิ่งนั่นเอง ไม่กล้าโยกโย้บอกว่า ปลอม ดูยาก เนื้อไม่ใช่ ผิดพิมพ์)
มาถึงบทสรุป – พอเข้าใจแล้วใช่มั้ยครับว่าธุรกิจพระเครื่องนั้นเป็นอย่างไร
เขาถึงมีสโลแกนเกี่ยวกับพระสมเด็จว่า - พระสมเด็จ เสร็จทุกราย (ไม่ว่าเจ้าของพระ คนซื้อพระหรือคนขายพระ)
ถึงจุดนี้ - คนที่ใฝ่ฝันอยากได้พระสมเด็จวัดระฆังโดยใช้อำนาจเงินมหาศาลซื้อ ก็ไม่แน่ว่าจะได้พระแท้ ส่วนคนที่มีพระสมเด็จแท้ๆ แต่ก็ไม่สามารถขายเป็นเงินได้
พระเลือกคนไปแล้วครับ พระท่านต้องการอยู่กับคุณลุงและวงศ์ตระกูลของลุงครับ

♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦


ร้านนี้ยังมีพระแก้ว พระเหล็กไหล พระขรรค์แก้ว ... สารพัดสมบัติบาดาล หาซื้อได้ที่นี่จ้า...ถ้าของไหนไม่มี สั่งได้นะจ๊ะ...หุหุ ร้านอยู่ตรงไหนเหรอ ลงป้ายรถเมล์ท่าพระจันทร์ เข้าตรอกสนามพระ (มีป้ายให้สังเกต) เดินไปสุดตรอกอยู่ซ้ายมือก่อนถึงแม่น้ำจ้า สมบัติบาดาลมีให้เลือกเพียบ

ของแท้เสด็จจริงๆ มีนะครับ... ที่ผมประสบมากับตนเองแล้วเชื่อสนิทใจก็คือ
1.
เสด็จมากลางวันแสกๆ
2. ไม่ต้องหลับตา ไม่ต้องก้มหน้า ไม่ต้องนั่งสมาธิ เห็นกับตาว่า ผุดออกจากอากาศตรงหน้า แล้วลงตรงข้างหน้าผมเลย
3. เจ้าของสถานที่ไม่เก็บตังค์สักบาท ไม่อ้างว่าจะเอาไปทำบุญให้ หรือเอาไปกระจายบุญให้ บอกอย่างเดียวว่า... ให้ไปทำบุญที่วัดไหนก็ได้ครับ ไม่ต้องเอามาให้ผม แบบนี้แหละ... แท้ๆ ตรงใจ
.
นับตั้งแต่สิงหาคม 2558 ของเสด็จประเภท
1.
ผมไม่เห็นกับตา
2. มากลางค่ำ กลางคืน และต้องปิดไฟมืดๆ
3. ต้องลงไปงมในน้ำ หรือปิดๆ บัง
.
แบบนี้...ผมขอผ่านครับ ... แต่ถ้าใครศรัทธาอยู่ก็ไม่ว่ากัน เงินของท่าน ไม่ใช่เงินของผม ผมเลือกเอาเงินไปสร้างบุญอย่างอื่นจะดีกว่าเอาสมบัติพญานาคที่จริงหรือเท็จก็ไม่รู้มาไว้ที่บ้าน
.
ถ้าเคยดูมายากลระดับโลก.. รถไฟหายไปทั้งขบวน นกเป็นๆ อยู่ดีก็โผล่มา เดินทะลุกำแพงเมืองจีน เทพีเสรีภาพหายไป ไม่เห็นคนบ้านเราไปกราบฝากตัวเป็นศิษย์เลย... ก็เรารู้ว่านั่นคือการแสดงไงครับ
.
บ้านเราตอนนี้ การแสดงเยอะนะครับ
.
ของจริงมีครับ แต่ต้องใช้ปัญญาประกอบการพิจารณามากๆ หน่อยก่อนปักใจเชื่อด้วย ท่านใดที่รวยมากๆ อยู่แล้ว จะเก็บไว้เต็มบ้านก็ไม่มีปัญหา ตามสบายครับ ถือว่าแบ่งกันกิน แบ่งกันใช้

♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦

ก่อนเข้านอนคืนนี้... เคยคิดมั้ยว่าพรุ่งนี้จะได้ตื่นมาอีกหรือเปล่า
-------------------
หากจะต้องไม่ได้ตื่นขึ้นมาล่ะ.. จิตเราเกาะอยู่กับอะไรก่อนตาย ผมขอตัดช่องน้อยแต่พอตัวของผมดังนี้คือ
1. ท่านใดมีห้องพระ ก็ไปห้องพระ ถ้าไม่มีห้องพระก็นำพระเครื่องที่ห้อยคอ วางบนผ้าขาวที่ปูบนหมอนที่จะหนุนนอน
2. ก่อนสวดมนต์ อาราธนาศีลห้า ให้เราเป็นผู้มีศีลก่อนสวดมนต์
3. สวดมนต์ด้วยจิตที่ระลึกถึงพระรัตนตรัยอย่างจริงจัง หากได้ทราบความหมายในบทสวดจะทำให้การสวดมนต์นั้นมีความซาบซึ้งของจิตมากยิ่งขึ้น
4. สวดมนต์เสร็จก็แผ่เมตตาให้แก่สรรพสัตว์ทั้งหลายให้ได้รับส่วนกุศลในการสาธยายพุทธมนต์นั้น
5. หลังจากนั้น...ถ้าไม่ได้นั่งภาวนา ก็นอนภาวนาคำ "พุทโธ" ไปเรื่อยๆ จนหลับไปเอง (ปัจจุบันถ้าไม่ได้ภาวนาพุทโธแล้วจะนอนไม่ได้เลย)
-----------
สิ่งที่ผมจะได้จากการปฏิบัติแบบนี้ก็คือ
- ระหว่างที่ผมหลับ ผมจะเป็นผู้ที่มีศีลห้าครบ
- เมื่อได้ภาวนาพุทโธ จิตก่อนเข้าภวังค์ตอนหลับ จะเป็นจิตเกาะติดกับพุทธะ
- หลังแผ่เมตตา เหล่าเทพยดาและสัตว์ทั้งหลายที่ได้รับส่วนกุศลในการสาธยายพุทธมนต์ ต่างก็อำนวยพรให้กับผมแน่นอน
------------------
ถ้าผมจะต้องตายไประหว่างหลับไม่ว่าจะด้วยเหตุใดก็ตามนั้น... การเป็นผู้มีศีลครบ, การที่จิตเกาะอยู่กับพุทธะจากการภาวนาพุทโธจนหลับไป และการได้รับการอำนวยพรจากเทพดาและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายจากการแผ่เมตตา ... อย่างน้อยผมจะมีสุคติภูมิเป็นที่ไปแน่นอน.... (ประยุกต์คำสอนของหลวงพ่อฤาษีฯ)
.
ถ้าท่านทั้งหลายที่อ่านบทความนี้ ได้ปฏิบัติทุกวันเป็นเวลา 10-15 นาทีทุกคืนก่อนนอน จะเป็นการจองสุคติภูมิไว้แน่นอนครับ ...เอาเงินเป็นร้อยล้านซื้อสุคติภูมิก่อนตายนั้นไม่ทันแน่นอน... ผมมั่นใจ
♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦

สำหรับคนเช่นผมและท่านอื่นๆ ที่ยังศรัทธาวัตถุมงคลจากพ่อแม่ครูอาจารย์ มักจะถูกค่อนแคะโดยบุคคลบางประเภทที่ฟังธรรมมามากหน่อย อ่านหนังสือธรรมะมามากหน่อยว่า.. เป็นพวกติดแค่เปลือกแค่กระพี้ของพระพุทธศาสนา ยังไม่ได้เข้าถึงแก่นแท้แก่นธรรมทางพระพุทธศาสนาแต่อย่างใดเลย
.
โปรดตรองดูจากคำเปรียบเทียบของครูบาอาจารย์ว่า พระพุทธศาสนาเปรียบดั่งต้นไม้ใหญ่ จะแข็งแรงและเข้มแข็งอยู่ได้ก็เพราะมีทั้งแก่น กระพี้ และเปลือก
แก่นไม้ใหญ่ถูกปกป้องโดยเปลือกและกระพี้ น้ำและอาหารของต้นไม้ก็ผ่านไปทางส่วนกระพี้เพื่อไปเลี้ยงไม้ทั้งต้น หากไม่มีกระพี้และเปลือกไม้ที่ห่อหุ้มแก่นไว้ ไม้ใหญ่นั้นก็รอวันแห้งตายและหักโค่นไปเท่านั้น
.
ดังนั้น อย่าไปค่อนแคะคนที่เขาศรัทธาวัตถุมงคลเลย เขาห้อยพระอยู่ในคอ จิตเขาก็จับอยู่กับพระพุทธเจ้าและพระอริยเจ้าที่ได้สร้างได้เสกพระห้อยคอนั้นขึ้นมา เรายังเป็นปุถุชน ไม่ได้มีอินทรีย์แก่กล้าหรือมีจิตแห่งอริยบุคคลมาก่อน ก็ย่อมต้องพึ่งพาพระห้อยคอเป็นที่พึ่งทางกายและใจไปก่อน
.
คนว่ายน้ำยังไม่เป็น ก็ต้องพึ่งเสื้อชูชีพเมื่อลงน้ำ
คนยังไม่บรรลุธรรมใดๆ ก็ต้องพึ่งวัตถุมงคลเพื่อเป็นพุทธานุสติและกำลังใจ หากมีปัญญาเพิ่มขึ้นมาก็จะอาศัยกระพี้ที่ติดอยู่นั้นได้พัฒนาตนเองจนเข้าถึงแก่นได้ต่อไป 

ผมขออัญเชิญคำสอนหลวงปู่เทสก์ เทสรังสีที่ได้เทศนาไว้เรื่องเปลือก กระพี้ และแก่นไม้ดังนี้....
*
ถ้ามีแต่แก่นอย่างเดียว หากเป็นต้นไม้ ก็เรียกว่าต้นไม้ตายย่อมอยู่ไม่ได้นาน
*
ถ้ามีแต่กระพี้ หากเป็นต้นไม้ ก็เรียกว่าต้นไม้หาสาระไม่ได้ นอกจากจะทำเป็นฟืนเท่านั้น
*
ถ้ามีเปลือกอย่างเดียว หากเป็นต้นไม้ เช่น ต้นมะละกอ พลันที่จะหักเร็วที่สุดเมื่อลมพายุพัดมา
.
พระพุทธศาสนาวัฒนาถาวรได้นานปานนี้ก็ด้วยมีทั้งเปลือก กระพี้ และแก่น ครบบริบูรณ์
♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦
มีช่วงหนึ่งของชีวิตเมื่อสักยี่สิบกว่าปีที่แล้ว.. ผมคิดติดลบเรื่องการใส่บาตรกับสมมุติสงฆ์ และถวายเงินทำบุญให้กับวัดทั่วไป (เป็นเรื่องของคนคิดมากแบบผม)
.
ใจหนึ่ง..ผมก็อยากสร้างกุศลผลบุญ สืบทอดพระศาสนา แต่...
อีกใจหนึ่งก็คิดว่าถ้าพวกนั้นไม่ใช่พระจริงๆ ล่ะ เราไปต่อตีนให้โจรหรือเปล่า ทำให้การทำบุญกุศลนั้นเจือไปด้วยอคติ ซึ่งไม่เกิดผลบุญใดๆ เลยกับผม
.
ต่อมา...พอมีโอกาสได้อ่านคำสอนขององค์หลวงปู่ดู่ ท่านได้สอนไว้ว่า หากจะใส่บาตรหรือสร้างบุญกุศลกับพระหรือทางวัดก็ให้ตั้งจิตของเราให้ดีแล้วอธิษฐานว่า.... "ของที่เราจะใส่บาตรนี้ (หรือเงินที่ทำบุญนี้) เราขอถวายแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลาย และพระอริยเจ้าทั้งหลาย เพื่อสืบทอดพระศาสนา"
.
หลวงปู่ดู่ได้อธิบายต่อไปในทำนองว่า.. "กุศลผลบุญแห่งการใส่บาตรหรือเงินทำบุญนั้นได้สำเร็จแล้วอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย ส่วนหลังจากนั้น...ของที่เราใส่บาตรไป เงินที่ทำบุญไปจะไปอยู่ตรงไหน ใครนำไปใช้ประโยชน์อย่างไรไม่ต้องไปใส่ใจอีกแล้ว
.
ถ้าเขานำไปใช้ไปฉัน ไปใช้ในสมณกิจถูกต้องก็จะดีด้วยกันทั้ง 2 ฝ่ายคือเราผู้ถวายและสมมติสงฆ์รูปนั้น แต่ถ้าของนั้นถูกนำไปใช้ในทางที่ผิด บาปเวรอย่างร้ายแรงก็จะอยู่แก่ผู้นั้นผู้เดียว เพราะของเหล่านั้นเราได้ตั้งจิตถวายพระพุทธเจ้าและพระอริยเจ้าไปแล้ว ... เขาแค่มาเป็นผู้แทนมารับการถวายของเรา ส่วนเรานั้นได้บุญไปเต็มๆ หลังจากถวายทานนั้นแล้ว
.
เมื่อผมได้อ่านคำสอนของหลวงปู่ดู่คราวนั้นแล้ว หลังจากนั้นผมก็ใส่บาตรและทำบุญกุศลอื่นๆ กับวัดได้อย่างสบายใจแล้วครับ

♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦